หน้าแรกผู้จัดการ Online | หน้าแรก Metro Life | หนังสือหนังหา
 
“ดังตฤณ” ปริทรรศน์ : สะพานเชื่อมธรรมะสู่คนร่วมสมัย
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 14 มิถุนายน 2548 21:21 น.
        ชั่วโมงนี้หนังสือธรรมะเล่มโปรดของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ “เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 8 กำลังอยู่ในกระแสความนิยมของมวลชน ติดอันดับขายดีติดต่อกันหลายเดือน แม้กระทั่งภรรยานายกรัฐมนตรี คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ยังถามหาสั่งซื้อเพื่อไปแจกให้กับญาติสนิทมิตรสหาย “ดังตฤณ” ผู้เขียนเลยมีกำลังใจเป็นกองในการสร้างสรรค์ผลงานหนังสือธรรมะดี ๆ ให้คนไทยได้อ่านกัน” (ผู้จัดการออนไลน์ 8 กุมภาพันธ์ 2548)
       
               สำหรับคนที่มีโอกาสแวะเวียนเข้าร้านหนังสือบ่อย ๆ คงรู้สึกว่าระยะหลังมีหนังสือธรรมะออกมามาก ซึ่งหลายต่อหลายเล่มก็ติดอันดับหนังสือขายดี ด้านหนึ่งแม้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์ของคนในสังคมตอนนี้หันเข้าหาธรรมะกันมากขึ้น แต่ด้านหนึ่งตัวนักเขียนก็มีส่วนไม่น้อยในการปรุงรส “ยาขม” ที่ยากจะกลืนนี้อย่างไรให้ชวนลิ้มและลื่นคอ
       
              ชื่อของ “ดังตฤณ” เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนหนังสือแนวนี้ผู้นำเสนอผลงานอย่างผู้รู้ลึกรู้จริงในอรรถธรรม คงไม่เกินเลยนักหากจะกล่าวว่าเขามีบทบาทสำคัญในกระแสหนังสือธรรมะที่เป็นอยู่ เพราะแค่ปรากฏการณ์ของ “เสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน” เล่มเดียว นับถึงวันนี้หนังสือมียอดพิมพ์สูงถึง 19 ครั้งแล้ว เมื่อคิดต่อจำนวนพิมพ์ครั้งละ 5,000 เล่ม ขณะนี้หนังสือที่มีความหนา 200 กว่าหน้าเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์ไปแล้วเฉียด 100,000 เล่ม!!
       
              …ด้วยตัวเลขขนาดนี้ ถ้าเป็นหนังสือทั่วไปก็น่าทึ่งแล้ว แต่ขอย้ำว่านี่คือหนังสือธรรมะแท้ ๆ 
       
       
        “เป็นเพราะผมตอบคำถาม” นักเขียนเจ้าของนามปากกา “ดังตฤณ” ให้ความเห็น “ผมไม่ได้ยัดเยียดคำตอบแต่ผมตอบคำถาม นั่นแสดงให้เห็นว่าคนไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยมีคำถามเหมือนกันหมด แม้กระทั่งทุกวันนี้ไม่ว่าวิทยาการจะไปถึงไหนคนก็ยังมีคำถาม ยังสงสัย ทุกคนอยากได้คำตอบว่าอะไรเป็นที่สุด อะไรคือสิ่งที่เป็น Ultimate Reality ตรงนี้แหละเมื่อได้ศึกษาพุทธศาสนาแล้วได้คำตอบ”

กล่าวสำหรับ “เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน” หนังสือเล่มนี้ช่วยคลี่คลายความสงสัยในชีวิตที่คนมักจะถามกัน และนี่ก็เป็นเรื่องที่สมควรได้รู้เป็นอย่างยิ่ง- คนเราเกิดมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร (เพศหญิงหรือชาย โฉมงามหรืออัปลักษณ์ รวยหรือจน โง่หรือฉลาด) คนเราเมื่อตายแล้วไปไหนได้บ้าง (สุคติหรือทุคติ ว่าด้วยภพภูมิต่าง ๆ) และสุดท้ายเมื่อยังมีชีวิตอยู่ควรทำสิ่งใดดีที่สุด (ให้สมกับโอกาสที่ยังมี)
       
              ที่มาของหนังสือเล่มนี้ “มีคนรู้จักขอให้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งให้ญาติเขาที่กำลังจะตาย ตอนนั้นก็คิดว่า เออ น่าสนใจดี เขียนหนังสือให้คนเป็นมาเยอะแล้ว ยังไม่ได้เขียนหนังสือให้คนใกล้จะตายอ่าน คนที่มีชีวิตกับคนที่กำลังจะตายมีคำถามเกี่ยวกับชีวิตไม่เหมือนกันนะ คนที่ยังอยู่จะหาหนังสือ How To ไม่ว่าจะ How to live, How to be rich อะไรก็แล้วแต่ แต่คนกำลังจะตายจะอยากรู้ว่าโลกหน้ามีจริงรึเปล่า คำถามเขาจะเปลี่ยนไป ไม่ใช่ How to live แล้ว แต่ How to die”
       
               อย่างไรก็ตาม ผลงานที่ผ่านมาตลอดระยะกว่า 10 ปีบนเส้นทางนักเขียน ปัจจุบัน “ดังตฤณ” มีผลงานทั้งหมด 8 เล่ม ประกอบด้วยเรื่องที่เป็น Fiction และ Non- Fiction คือ นวนิยายเรื่อง “กรรมพยากรณ์” 2 ตอน, นวนิยายเรื่อง “ทางนฤพาน”, หนังสือธรรมะสำหรับคนยังมีลมหายใจ “เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน” , “เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว” คำถามและคำตอบปกิณกะรวบรวมจากคอลัมน์ในนิตยสารบางกอก, “วิปัสสนานุบาล” คู่มือธรรมะปฏิบัติขั้นต้นสำหรับมือใหม่, ประสบการณ์ธรรมะกึ่งนิยายเรื่อง “7 เดือนบรรลุธรรม”, และหนังสือที่มุ่งตรงต่อการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง “มหาสติปัฏฐานสูตร”
       
              “แต่ละเล่มจะมีความง่ายไล่ขึ้นมาหายาก ซึ่งตรงนี้ก็เหมือนกับเราต้องการบอกคนอ่านว่าเราเป็นกันเองกับทุกคน เราไม่ได้พูดว่าธรรมะแยกตัวต่างหากไปอยู่บนยอดเขา เราพูดว่าธรรมะคือภูเขาทั้งลูก ซึ่งภูเขามันก็มีอยู่ที่เนินด้วย ตรงนี้เราต้อนรับคน เราเป็นกันเองกับคนตั้งแต่ที่ตีนเขาขึ้นไปถึงยอดเขา”

เพราะฉะนั้นนี่คือความตั้งใจแต่แรกในการสร้างสรรค์งานให้ออกมาลุ่มลึกหลากหลายเพื่อตอบสนองคนหลายกลุ่ม ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหากแฟน ๆ นักอ่านที่เขาพบมากับตัวเองจะมีช่วงอายุตั้งแต่เด็กอายุ 12 ปีไปจนถึงคนแก่อายุ 90 ปี
       ทั้งนี้นอกจากจะมุ่งเสนอประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านสูงสุด ในส่วนการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ “ดังตฤณ” บอกว่าเขาต้องทำความรู้จักกับคนรุ่นใหม่ให้ได้เสียก่อนว่าเขามีชีวิต มีพฤติกรรม มีวิธีคิด วิธีพูดอย่างไร เหตุผลก็เพื่อนำมาสร้างเป็นตัวละครที่ตัวตนและให้ความรู้สึกที่เป็นสากล
       
             “คนเราถ้าเอาประเภทหลัก ๆ มีไม่กี่แบบหรอก คิดดี คิดไม่ดี ฟุ้งซ่านหรือสงบ เบียดเบียนหรือไม่เบียดเบียนอะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราสร้างตัวละครให้หลากหลายมันก็ต้องโดนเข้าสักแบบ และตรงนี้แหละที่เราค่อยเชื่อมโยงเข้าไปเรื่องกรรมวิบาก อาจจะมีพูดโยงไปเรื่องอดีตชาติด้วยแต่เราไม่เน้น อย่างเช่นเคยฆ่าหมูเลยโดนหมูฆ่า อย่างนี้จะไม่พูด แต่จะพูดถึงสิ่งที่เห็นอยู่ทุกวันว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งสิ่งที่เขียนไป พล็อตเรื่องเป็นสิ่งที่แต่งขึ้น แต่กฎเกณฑ์คือกรรมวิบาก ทำอะไรจะได้ผลอย่างไรเป็นเรื่องจริง”
       
             แม้วันนี้ชื่อของ “ดังตฤณ” จะเป็นที่ยอมรับในฐานะนักเขียนแนวธรรมะ แต่กว่าที่เขาจะมีความเข้าใจลึกซึ้งกว้างขวางในข้อธรรมอย่างที่เป็นย่อมต้องอาศัยประสบการณ์และการบ่มเพาะ ผ่านการศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติ
       
              “เดิมทีช่วงอายุ 16-17 ผมก็เป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดา ๆ ไม่ได้แตกต่างจากเด็กคนอื่น แต่ที่แตกต่างคือความคิดข้างใน ผมมีความรู้สึกว่าถ้าในอนาคตข้างหน้าเราไม่ชอบทำอะไรเลยสักอย่างเดียว ถ้าดูไปแล้วไม่เห็นมันจะมีอะไรที่น่าจับต้องน่าศึกษา เราจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร
       
               พอโตขึ้น 1 หรือ 2 ปีต่อมาก็เกิดความสนใจว่าคำว่า “วิปัสสนา” เคยได้ยินบ่อยแต่วิปัสสนาคืออะไรไม่รู้ ก็ไปซื้อหนังสือเล่มเล็ก ๆ ของท่านอาจารย์ธรรมรักษามาอ่าน ทำให้เข้าใจแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับพุทธศาสนาว่าถ้าจะปฏิบัติธรรม ถ้าจะเอาคำตอบชีวิตขั้นสูงสุดจะเอาจากคำว่าวิปัสสนาได้อย่างไร”
       
               จากประกายที่ถูกจุดขึ้นตรงนั้น “ดังตฤณ” สานต่อความสนใจเมื่อเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย “ผมได้ความรู้จริง ๆ ว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรก็จากพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชนของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเรียกว่าเข้าห้องสมุดตลอดและเล่มนี้ก็ไม่มีใครแย่ง คนอื่นเขาเห็นเป็นยาขมแต่สำหรับเราเป็นขนม” ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อยมา ทั้งจากหนังสือ เช่น “พุทธธรรม” ของท่านเจ้าคุณประยุทธ์ ปยุตโต, พระไตรปิฎกฉบับที่รวบรวมโดยอาจารย์ธรรมรักษา และจากอินเตอร์เน็ต

กระนั้นก็ตามสำหรับการศึกษาพระพุทธศาสนา การเดินตามรอยบาทพระศาสดาสู่การหลุดพ้นย่อมไม่สามารถลุถึงได้ด้วยการนึกรู้ด้วยการศึกษาปริยัติเพียงอย่างเดียว “ดังตฤณ” เมื่อครั้งที่เริ่มปฏิบัติเขาบอกว่าตัวเองโชคดีที่ได้อ่านพบเรื่อง “สติปัฏฐาน 4” ก่อนอื่น เพราะแม้ภายหลังจะสับสนกับแนวทางปฏิบัติที่หลากหลายแต่สุดท้ายแล้วการปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของกายและใจนี้คือแนวทางที่พระพุทธองค์ได้ทรงประทานไว้
       
              “ตอนลงมือจริง ๆ ช่วงนั้นถือว่าค่อนข้างสะเปะสะปะเพราะเราเริ่มต้นจากการฟังคนนั้นทีคนนี้ที ทีนี้งง ถึงจุดหนึ่งเลยตัดสินใจว่าจะไม่เชื่อใครแล้ว ขอลองย้อนกลับไปอ่านที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด ๆ ซิ ซึ่งก็คือสติปัฏฐาน 4 พระองค์ตรัสไว้เป็นขั้นเป็นตอนชัดเจน สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า โอเค เราจะไม่หนีไปจากลมหายใจ และกำหนดลมหายใจไม่ใช่เพื่อเอาความสงบอย่างเดียว แต่เอาความ “รู้” รู้ว่าลมเข้าลมออก เดี๋ยวมันก็ยาว เดี๋ยวมันก็สั้น กำหนดไปเรื่อย ๆ รู้ได้เท่าที่จะรู้”
       
               ถึงที่สุดแล้วจึงอาจกล่าวได้ว่าแก่นสารภายในหนังสือแต่ละเล่มของ “ดังตฤณ” เป็นผลสืบเนื่องจากประสบการณ์จริงในการลงมือปฏิบัติบวกรวมกับความรู้ความเข้าใจที่ได้จากการศึกษาค้นคว้านานปี และไม่ว่าหนังสือเล่มนั้น ๆ จะติดขมหรืออมหวานเพียงใด “ดังตฤณ” ในฐานะนักเขียนมีความคาดหวังคือต้องการให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักกับพระพุทธเจ้า มิใช่เห็นพระพุทธรูปแล้วกราบไหว้โดยไม่รู้เลยว่าท่านตรัสอะไรไว้บ้าง 
       
              “ผมได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่าคนไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน หรือชาติไหน ถ้ารู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้สนใจกันทั้งนั้น แต่ที่คนไม่สนใจหรือว่าเกือบจะทิ้งพุทธศาสนากันแล้วทั้ง ๆ ที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธก็เพราะเขาไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไร ผมแค่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมคนที่อยู่ยุคเดียวกันและมีความคิดตีตัวออกห่าง เริ่มดูถูกศาสนา ตรงนี้แหละที่ผมเข้ามาทำหน้าที่ ผมมาสานต่อในยุคของเรา”

เครื่องมือจัดการเว็บ
ส่งบทความนี้ต่อ
พิมพ์หน้านี้
ข่าวที่มีผู้ส่งมากที่สุด
แสดงความคิดเห็นผ่านเว็บบอร์ด
หนังสือพิมพ์: ผู้จัดการออนไลน์ | ผู้จัดการรายวัน | ผู้จัดการรายสัปดาห์ | นิตยสารผู้จัดการ | Positioning
มุม: การเมือง | อาชญากรรม | คุณภาพชีวิต | ภูมิภาค | ต่างประเทศ | มุมจีน | ธุรกิจ | หุ้น | SMEs | โลกยานยนต์
CyberBiz | วิทยาศาสตร์ | เกม | กีฬา | บันเทิง | Life on Campus | Metro Life | ท่องเที่ยว | ธรรมะกับชีวิต
เว็บ: Asia Times | บุรพัฒน์ คอมมิคส์ | Public Law | Mars Magazine | Mast Online | Dajiahao | ทะเลไทย | คุยกับเว็บมาสเตอร์ | โฆษณาบนเว็บ
All site contents copyright ©1999-2005 Thaiday Dot Com Co., Ltd.