สัมภาษณ์ดังตฤณในรายการกรีนเวฟ FM 106.5
สัมภาษณ์ ดังตฤณ' ช่วง คืนพิเศษ คนพิเศษ' ครั้งที่ ๗๙รายการ กรีนเวฟ FM ๑๐๖.๕ วันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘เวลา ๒๑.๐๐ น. ๒๔.๐๐ น.
ถอดเทปเป็นตัวหนังสือโดย อลิสา ฉัตรานนท์
ช่วงที่ [1][2][3][4][5][6]
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ช่วงที่ 3
พี่ฉอด: คุณตุลย์คะ หนังสือเล่มนี้ สิ่งที่ได้บอกไว้อย่างชัดเจนในหลาย ๆ เรื่องก็คงจะเป็นเรื่องที่เราหลาย ๆ คนสงสัยว่าทำไม ๆ เช่นบอกถึงเรื่องของการเกิดเป็นผู้หญิง การเกิดเป็นผู้ชายด้วยอยากให้เล่าให้ฟังตรงนี้นิดนึงค่ะ
พี่ดังตฤณ: กรรมที่บันดาลอัตภาพชายหรือหญิงนี่นะครับจริง ๆ มีความวิจิตรพิสดาร แล้วก็ละเอียดอ่อนมากความจริงที่ผมเขียนไปในหนังสือเนี่ย เป็นเพียงส่วนหลัก ๆ ส่วนเดียวนะครับแต่ที่จริงมันมีมากกว่านั้น ทั้งส่วนที่ผมรู้และก็ไม่รู้
ตอบในที่นี้ ขอเอาแค่หลัก ๆ ก็แล้วกันเป็นชายเนี่ย จะประกอบบุญมาแบบแข็งส่วนหญิงเนี่ย จะประกอบบุญมาแบบอ่อนและถ้าใครพอจะยอมรับตามจริงว่า อัตภาพหญิงนั้นมีปัญหาจุกจิกมากกว่าชายเป็นแม่เหล็กดึงดูดภยันตรายมามากกว่าชายก็ต้องบอกว่าเป็นหญิงเนี่ย เพื่อเสวยวิบากไม่ดีบางอย่างทางเพศพูดง่าย ๆ คือมีแนวโน้มว่าจะประพฤติผิดทางเพศไว้ ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบทางเพศบ้างแต่อันนี้ไม่ใช่ทุกคนนะครับ เดี๋ยว.. ต้องฟังดี ๆ นะครับคือต้องดูด้วยว่า ผู้หญิงจำนวนมาก ที่มีความสูงศักดิ์ มีความปลอดภัยและก็ไม่โดนย่ำยีด้วยประการใด ๆ ทั้งชีวิตเลยคือไม่เคยเจอเรื่องอาชญากรรมทางเพศอะไรอย่างนี้นะครับอันนั้นก็เพราะว่า ไม่อยู่ในช่วงเสวยวิบาก ที่ว่าด้วยการประพฤติผิดทางเพศ
เคยมีคนถามว่า... อันนี้ขอพูดฉีกออกมานิดนึงนะครับ เคยมีคนถามว่ากรรมอะไร ถึงทำให้ปวดทรมานในช่วงประจำเดือนมาก คือหนักกว่าผู้หญิงทั่วไปอันนี้ผมไม่ได้เขียนไว้ในหนังสือนะครับ ผมตอบว่าเพราะเคยเป็นตัวป่วนไว้เยอะ เคยหงุดหงิดเกรี้ยวกราดอย่างไร้เหตุผลไว้เยอะซึ่งปรากฎว่าพอทดลองทำตัวดีมีเหตุผล ไม่ป่วนแฟนพร่ำเพรื่อเท่านั้นเอง ความทรมานในช่วงประจำเดือน ก็ลดลง คือทันตาเห็นเลยแต่อันนี้ไม่ใช่ได้ผลกับทุกคนนะครับ คือขึ้นอยู่กับว่าเป็นตัวป่วนระดับไหนด้วย
แล้วก็การจะตัดสินใจในแต่ละเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องดี ๆมันก็มีผลให้ได้ไปเกิดเป็นชายเป็นหญิงเหมือนกันอย่างเช่น ถ้าตั้งใจอะไรดี ๆ แล้วทำด้วยความหนักแน่น ริเริ่มทำเองมันก็เป็นลักษณะเข้าได้กับฝ่ายชายคือการตัดสินใจเพื่อประโยชน์สุขของตนของท่านเนี่ยถ้าเราดูแล้วเนี่ย มันเหมาะกับอัตภาพแบบชาย ซึ่งแข็งแรงใช่มั้ยมีความสามารถที่จะทำการอะไรได้หนัก ๆ หรือว่าเสี่ยงอันตรายได้หรือว่าเข้าสู่สภาพที่ต้องแบกรับภาระอะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ ได้มาก
บางคนบอกว่า ผู้หญิงรับความเครียดได้มากกว่าแต่ว่า แน่นอน คือจะไม่สามารถแบกภาระอะไรที่มันใหญ่ ๆ น่ะนะครับอย่างพวกนักมวยปล้ำ อย่างพวกอะไรอย่างเนี้ยะคือถึงแม้มีนักมวยปล้ำหญิง ก็จะไม่ได้เห็นอะไรที่ออกมาแบบที่งานแบบ..เวทีนักมวยปล้ำชาย อะไรอย่างนี้ นี่ยกตัวอย่างน่ะนะครับ
แล้วถ้าหากเรามองกันในแบบ..คือ ไม่เอาว่าอันไหนด้อยกว่ากัน อันไหนที่เหนือกว่ากันนี่นะครับเราก็จะเห็นว่า ความเป็นชายมีลักษณะที่สอดคล้องกับการเป็นผู้กระทำการ เป็นผู้รุกส่วนฝ่ายหญิงเนี่ย คือ... ธรรมชาติเหมือนกับออกแบบมาให้น่าทะนุถนอมแล้วก็เป็นฝ่ายรับ คืออยู่ในฝ่ายดูแล ไม่ใช่ฝ่ายออกไปกระทำการตรงนี้เนี่ย มันก็สอดรับกันกับพฤติกรรมช่วงเก่า ๆ ช่วงอดีตชาติที่เป็นฝ่ายริเริ่ม เป็นฝ่ายรุก เป็นฝ่ายที่จะทำอะไรดี ๆส่วนฝ่ายหญิง ก็จะเป็นในแง่ของการตอบสนองมากกว่า
พี่ฉอด: ถ้ามองในแง่ของลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นสรีระ หรืออะไรก็ตามแต่แปลว่าผู้หญิงมีแนวโน้มที่อาจจะต้องลำบากกว่าการเกิดเป็นเพศชายด้วยข้อจำกัดของความเป็นเพศหญิง
ดังตฤณ: ใช่ครับ ด้วยประการทั้งปวง
พี่ฉอด: เพราะฉะนั้น หมายความว่า เรากำลังจะบอกว่าการเกิดมาเป็นผู้หญิงนั้น อาจจะต้องทำอะไรที่ไม่ค่อยดีหรือไม่ค่อยถูกต้องมามากว่าคนที่ได้เกิดมาเป็นเพศชาย อย่างนี้ถูกมั้ยคะ?
ดังตฤณ: บางคนเนี่ยนะ จริง ๆ แล้วทำบุญมามากว่าผู้ชายอีกแต่เขาพอใจที่จะเป็นผู้หญิง ตรงนี้ก็เป็นพอยท์ที่ผมเขียนในหนังสือด้วยนะครับคือไม่ใช่ว่าเพศหญิงเนี่ย เป็นเพศที่ทำบาปมา ไม่ได้เจาะจงอย่างนั้นนะครับคือบางครั้งเราทำบุญมามาก ๆ แล้วอย่าง... ถ้าชาติไหนได้เป็นเมียของผู้ชายที่ดี ๆ ผู้ชายที่ชักชวนทำบุญผู้ชายที่ให้ความอบอุ่น ผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำ เขาก็อาจจะเกิดความพอใจขออธิษฐานติดตามเป็นคู่ไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นก็มีนะครับ
หรืออย่างในคติทางพุทธเรา ก็มีความเชื่อว่าผู้ชายที่ตั้งใจจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตชาติ ก็จะต้องมีคู่ที่ติดตามไปผู้หญิงที่รู้ว่าสามีของตนเองปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าก็ติดตามไปเป็นคู่ เป็นคู่แท้ เป็นคู่ถาวรที่จะตามกันไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นก็มีเหมือนกัน
คือเหตุของความเป็นผู้หญิงเนี่ยมันไม่ใช่เรื่องบาปเรื่องกรรมอย่างเดียว มันไม่ใช่เรื่องของการด้อยมันไม่ใช่เรื่องของการถูกตราหน้าว่า อันนี้ไม่ได้เรื่องแต่ว่าบางทีเป็นเรื่องของความพอใจของเขาอย่างนั้น
พี่ฉอด: นอกเหนือจากความเป็นผู้ชายเป็นเป็นผู้หญิงแล้วก็ยังมีการพูดถึงว่า ทำอะไรยังไงมาถึงได้เกิดมาสวย เกิดมาหล่อ
ดังตฤณ: ในเรื่องนี้นะครับก็ขอให้ทดลองให้เห็น ๆ กันทันตาก็แล้วกัน ถ้าใครทำตามนะครับ
คือสมมติว่าคุณรู้สึกมีหน้าตาที่ไม่ดีอยู่แล้วปัจจุบันคุณชอบพูดปั้นน้ำเป็นตัว พูดจาสำรากหยาบคายพูดให้ร้ายคนอื่น หรือพูดเพ้อเจ้อไร้สาระตามอารมณ์ไปเรื่อยเปื่อยขอให้ถ่ายรูปเก็บไว้นะครับ แล้วลองตั้งใจพูดให้เป็นตรงกันข้ามดู กลับดำให้เป็นขาวแล้วสังเกตว่าอาการทางใจขณะคิด 'เลือก' คำที่ตรง คำที่ดี ที่เป็นคุณประโยชน์ตรงนั้นเนี่ย ถ้าเลือกคำพูดเหล่านั้น ความรู้สึกจะเป็นอย่างไรมโนภาพเกี่ยวกับตัวเองจะดูดีขึ้นมั้ยทำให้ได้ครบหนึ่งเดือน แล้วถ่ายรูปใหม่เอามาเปรียบเทียบดูระหว่างรูปเดิมกับรูปใหม่นะครับดูซิว่า มีความแตกต่างกันมั้ยถ้าไม่มีอะไรแตกต่าง อันนี้แหละ ขอให้เชื่อเลยว่ากฎของธรรมชาติ ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว
มโนภาพเกี่ยวกับตัวเองในใจเรา มีสองมิตินะครับมิติแรกเกิดจากควารู้สึกในรูปร่างหน้าตาปัจจุบันบางคน สวยหล่อแบบพระเอกนางเอกก็ให้ความรู้สึกเช่นนั้นในยามปกติแต่ขณะคิดอ่าน ทำการ หรือพูดจาอะไร ก็จะเกิดมโนภาพจอมโฉดหรือว่านางมารร้ายปรากฎขึ้นแทน อันนี้ในกรณีที่ไม่ดีอันนั้นแหละครับ มโนภาพเกี่ยวกับตัวเองที่เกิดขึ้นเพราะกรรมปัจจุบันที่ทำอยู่เสมอ ๆและนั่นแหละ มันจะเป็นภาพเดียวกันกับอัตภาพในอนาคตเพราะฉะนั้น คือสรุปนะครับว่า ทำอะไรที่มัน...พูดง่าย ๆ นะครับ เอาเฉพาะคนสวยคนหล่อก่อน
หนึ่ง เหตุผลที่ทำให้ได้มีหน้าตาดี ก็เพราะว่ามีใจเสียสละชนะความโลภและความตระหนี่ได้ พูดง่าย ๆ ไม่โลภสอง คือระงับความโกรธได้ด้วยใจที่เมตตาแท้จริงพูดง่าย ๆ คือว่าไม่โกรธง่าย ๆ ไม่มีโทสะอยู่ในจิตง่าย ๆและ สาม คือไม่หลงสำคัญตัวผิด ๆอันนี้เป็นฝ่ายดี ซึ่งถ้าเกิดเป็นตรงกันข้ามก็อยู่ฝ่ายร้าย
ถ้าหากว่าทำอะไรไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นส่วนใหญ่ยิ่งถ้าเป็นความโลภขั้นร้ายแรง ถึงขนาดจะไปขโมยเขาหรือว่าถ้ามีความโกรธขั้นร้ายแรง ขนาดจะไปทำร้ายเขา ไปฆ่าเขาอย่างนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดมารูปร่างหน้าตาไม่ดีในชาติต่อไปถึงแม้ว่าปัจจุบันชาติจะดูดีแค่ไหนก็ตาม
อย่างพวกที่โลภมากเนี่ย เคยเห็นมั้ยครับ บางคนเนี่ยเรามองหน้าปุ๊บเนี่ย รู้สึกเลยว่าคนนี้โลภ คือโลภมาก ท่าทางจะขี้โกงท่าทางจะคบไม่ได้อะไรทำนองนั้น ไม่น่าไว้ใจบางคนก็เหมือนกับว่าดูหล่อดูสวย แต่หล่อแบบน่ากลัว สวยแบบน่ากลัวอันนั้นมันก็เพราะว่าเคยทำบุญมาก็จริง แต่ว่าก็มีความโกรธเจืออยู่ด้วยคือชอบเป็นคนที่แสดงความโกรธง่าย ๆ ผิวพรรณก็จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่แล้วก็จะออกแนวที่เห็นแล้วรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้เห็นแล้วรู้สึกว่าเป็นคนหน้าดุ อะไรทำนองนั้น
พี่ฉอด: ถ้าเราพูดถึงสวยไปเลย หล่อไปเลย หรือว่าไม่สวยไม่หล่อไปเลยก็เป็นแบบนึง แต่ว่าบางทีมีการพูดถึงว่า เหมือนจะสวย เหมือนจะหล่อแต่ก็ไม่สวยไม่หล่อเสียที เหมือนยังไม่ค่อยเสร็จอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ (หัวเราะ)
ดังตฤณ: ผมขอยกตัวอย่างนะครับ อย่างบางคน เราดูว่าเขาพูดดีใช่มั้ยเราดูว่าเขาทำเหมือนพ่อพระ แม่พระ แต่มันแกล้ง ๆ ยังไงบอกไม่ถูกเพราะส่วนใหญ่คือ เขาอยากจะทำให้ดูดี แต่ใจเขาไม่ได้ดีจริงอันนี้มันก็จะได้รับผลกรรม คือส่วนที่เขาทำดี ที่มันเป็นบุญเนี่ยมันก็จะตบแต่งรูปร่างหน้าตาให้เขาดูดีจริงแต่มันจตะดีแบบเลี่ยน ๆ ดีที่เห็นแล้วมันรู้สึกทะแม่ง ๆ บอกไม่ถูกอย่างที่พี่ฉอดพูดน่ะ มันหล่อไม่เสร็จ สวยไม่เสร็จมันจะขาด ๆ เกิน ๆ ก็เพราะว่า 'ใจ' ที่ทำดีเนี่ย มันจะขาด ๆ เกิน ๆอยากได้หน้ามากกว่าที่จะทำออกมาจากใจอย่างแท้จริง นี่เป็นแค่ตัวอย่าง
คือในเรื่องการผสมผสานกรรมเนี่ย มันเป็นไปได้ไมมีที่สิ้นสุด ไม่รู้จบแล้วผลออกมา มันก็ไม่รู้จบเหมือนกัน เพียงแต่พูดได้คร่าว ๆ ง่าย ๆ ว่าถ้าทำดีด้วยความบริสุทธิ์แท้จริง มันก็จะออกมาหมดจดแต่ถ้าทำแบบเจือ ๆ อยู่ด้วยความโลภ หรือความโกรธมันก็จะหล่อไม่เสร็จ สวยไม่เสร็จแต่ถ้าไม่ทำดีเลย อันนั้นก็จะออกมาหน้าตาอัปลักษณ์เลยหรือไม่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ
พี่ฉอด: นอกจากนั้นมันก็ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ อีกน่ะนะคะเช่นเรื่องของความฉลาดเฉลียว ความร่ำรวยเงินทองอะไรต่าง ๆเหล่านี้ก็มีที่มาที่ไปด้วยกันทั้งนั้นเลย
ดังตฤณ: ใช่ครับ
พี่ฉอด: ทีนี้ มันจะกลายเป็นอย่างนี้รึเปล่าคะคือพอเรารู้ว่าถ้าทำอย่างนี้มันจะเกิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้มันจะเกิดอย่างนี้มันจะกลายเป็นว่า เราจะทำอะไรก็จะคิดหวังอยากได้อะไรตอบแทนไปหมดเลยอย่างนั้นรึเปล่า
ดังตฤณ: ตรงนั้นเนี่ย... มันก็เป็นเรื่องของความเข้าใจก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า ทำไปด้วยศรัทธาว่ากรรมมีผล มันเป็นแบบนึงกับทำไปโดยหวังผลด้วยความโลภจัด อย่างนี้มันก็เป็นอีกแบบนึง
อย่างเช่น ยกตัวอย่างนะครับ บางทีเราอาจจะได้ยินว่าถ้าทำบุญมาก ๆ แล้วจะได้รวยมาก ๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจในเชิงวัตถุว่าถ้าหากยิ่งบริจาคมาก มันก็จะยิ่งได้คืนกลับมามาก มันเหมือนนักลงทุน
จริง ๆ แล้วตามกฎแห่งกรรมเนี่ย ไม่ใช่แบบนั้น เขานับเอาที่ 'ใจ'คือใจเรายิ่งมีความคิดเสียสละมากเท่าไหร่ มันก็จะได้มามากเท่านั้นอันนี้ผมพูดถึงหลักธรรมชาติเลยก็แล้วกัน ว่า 'ให้ไป คือได้มา'นี่คือหลักธรรมชาตินะครับ ยิ่งให้ไป คือยิ่งได้มาฉะนั้น ยิ่งทำทานมาก จิตยิ่งเปิดกว้างมากก็จะสร้างภพแห่งความกว้างทางฐานะไว้มากแต่ถ้าไม่ให้เลย หรือตระหนี่ไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์นะครับหรืออาจจะหนักกว่านั้นคือ ไปต้มเขา ไปโกงเขา หรือไปทำให้เขาล้มละลายอันนั้นก็คือเหตุที่มาของความยากจน
แล้วในเรื่องของการที่จะร่ำรวย หรืออะไรต่อมิอะไรต่าง ๆมันไม่ใช่เรื่องกรรมเก่าอย่างเดียวอย่างการที่เราทำมาหากินสุจริต แล้วก็ขยันขันแข็ง ไม่สุรุ่ยสุร่ายเกินตัวอันนี้ก็จัดเป็นปัจจัยนำ ที่เราจะได้เป็นพ่อค้าหรือว่าเป็นลูกจ้างชั้นดีขึ้นมาเราก็อาศัยปัจจัยหนุน คือวิบากกรรม ที่เคยทำทานไว้มากในอดีตมันก็ช่วยส่งเสริมให้เกิความร่ำรวยขึ้นมาได้ง่าย ๆ นะครับ
พี่ฉอด: แล้วถ้าหากว่าเราคิดด้วยวิธีนี้เนี่ยเราจะพบว่า การที่เราจะทำบุญบาทนึง หรือร้อยบาทเราอาจจะได้ผลบุญเท่า ๆ กันก็ได้ ใช่มั้ยคะ
ดังตฤณ: ถ้าหากว่าเราเข้าใจหลักการนะครับ ตรงนี้ก็จะไม่น่าสงสัยกุศลจิตจะเกิดขึ้นเต็มดวง หรือว่าบุญจะมีพลังแรงกล้าที่สุดตอนที่คนคนหนึ่งเกิดกำลังใจหนักแน่น ริเริ่มที่จะทำบุญด้วยตัวเองทั้งก่อนทำ ขณะทำ แล้วก็หลังทำ มีโสมนัสประกอบอันนั้น เรียกว่าเป็นบุญขั้นสูงสุด
ทีนี้ ถามว่ากำลังใจที่หนักแน่น มันมาจากไหนก็มาจากความาสามารถในการสละออกซึ่งอันนี้แปรผันไปตามสภาพฐานะของแต่ละคนถ้าคุณมีร้อยล้าน คุณไม่ต้องใช้กำลังใจในการบริจาคเงินหนึ่งพันบาทแม้แต่นิดเดียวซึ่งก็แปลว่า โสมนัสย่อมจะไม่เกิดขึ้นด้วยการเสียสละเงินหนึ่งพันบาทของคุณแต่ถ้าคุณมีอยู่ในธนาคารแค่สองสามแสน ทุกอย่างจะต่างไปทันทีเริ่มต่างไปนะครับ คือกำลังใจในการควักเงิน จะทำให้คุณ...เหมือนกับได้ยินเสียงหนึบใหญ่เลย ตอนควักกระเป๋า
หลังจากบริจาคไป คุณจะรู้สึกโล่งหัวอก ที่เหมือนมีก้อนอะไรมันละลายไปซึ่งก้อนนั้นมันคือก้อนตระหนี่นี่เองก้อนตระหนี่ที่มันทำให้ใจมันหนัก มันถูกทุ่มทิ้งลงไปซะได้แล้วยิ่งถ้าหากว่าทั้งเนื้อทั้งตัวคุณเหลือแค่หมื่นเดียวนะครับสมบัติคุณมีแค่หมื่นเดียว คุณบริจาคหนึ่งพันบาทเนี่ยนะรับรองแทบน้ำตาจะไหลเลยคือมันมีความกล้าที่จะบริจาค 'ตั้งพัน'โดยพิจารณาแล้วว่าเงินนั้นเป็นไปเพื่อเกื้อกูลคนที่เค้าเดือดร้อนกว่าด้วยนะไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ บริจาคพันนึง โดยที่ไม่เห็นประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
เนี่ย... เพราะฉะนั้น พูดถึงจำนวนเงินไม่ได้มันต้องพูดว่า คุณใช้กำลังใจแค่ไหนในการสละทรัพย์แต่ละก้อนแล้วการทำทานเนี่ยมันไม่ใช่มีแค่เรื่องของการบริจาคทรัพย์ไปมันมีเรื่องการช่วยเหลือด้วยแรงกายก็มี แรงสมองก็มีหรือว่าช่วยให้ความรู้เขาก็มี ให้เขาไปเลี้ยงตัวเองได้ทานมันมีหลายแบบครับ
พี่ฉอด: แล้วอย่างถ้าพูดถึงอย่างในแง่ของคนปัจจุบันนี้เนี่ยนะคะโอกาสที่จะทำบุญ ถ้าพูดถึงว่าในแง่ของการทำบุญกันจริง ๆ จัง ๆแบบว่าเข้าวัดทำบุญอะไรอย่างนี้ มันอาจจะมีไม่เยอะน่ะค่ะทีนี้ การทำบุญ การทำทาน เหล่านี้เนี่ยมันประกอบกันขึ้นมาเป็นการตอบแทนมาในอย่างเดียวกันหรือเปล่าคะหรือว่าถ้าไม่ไปสามรถทำบุญได้ เราก็ทำด้วยวิธีอื่นแทนอะไรอย่างเนี้ยะค่ะ
ดังตฤณ: เอาอย่างนี้เลยก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่าแค่สาดน้ำทิ้งที่เราล้างจานข้าว แค่สาดน้ำทิ้งไปในบ่อน้ำ แล้วใจคิดว่าเออ ดีเหมือนกันนะ ถ้าสมมติว่าติดเศษข้าวเศษอะไรที่ติดจานไปเนี่ยมันไปกับน้ำทิ้งด้วย แล้วได้กับสัตว์ในน้ำ คือสัตว์ในน้ำได้กินแค่ 'คิด' เท่านั้นนะครับ มันก็ได้บุญแล้ว เป็นที่มาของบุญแล้วนี่คือบุญในความหมายของธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าตรัสชี้หมายความว่าใจเรามันคิด 'ให้'ทั้ง ๆ ที่สาดน้ำทิ้งเหมือนกันนะ คนนึงสาดเฉย ๆ ไม่ได้บุญแต่คนนึงรู้สึก เออ มีเศษข้าวติดจานอยู่ แล้วมันก็น่าจะไปตามน้ำทิ้งด้วยแล้วสัตว์อาจจะได้ข้าวนั้น แค่นี้ใจเป็นบุญแล้วมันอยู่ที่ว่าจิตของเรา จะไปจับเอาวัตถุอะไรเป็นเครื่องหมายของการทำบุญ
ในชีวิตประจำวันเนี่ย เอาแค่เราให้ทางรถเขาไปก่อน อย่างนี้ก็เป็นที่มาของบุญมันเป็นทานชนิดนึง มันเป็นการให้อย่างนึงหรือว่าเอาแค่สัตว์พวกหมาแมวเนี่ยนะครับ มาอาศัยชายคาบ้านเราปกติเราก็จะมองเฉย ๆ ใช่มั้ยครับคนส่วนใหญ่เนี่ยหรือนึก เอ๊ะ... มันเข้ามาเดี๋ยวบ้านเราสกปรกอะไรอย่างนี้ คนจะนึกอย่างนั้นแต่ถ้าเจ้าของบ้านอีกคนนึงคิดว่า เออ ดีนะ มันเข้ามาหลบแดดหลบฝนเพราะว่าชายคาบ้านของเราเป็นประโยชน์กับมัน แค่นี้ก็เป็นที่มาของบุญอีกเช่นกัน
เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันเราครับพี่ฉอดไม่ใช่ว่าเราจะต้องมีทรัพย์เสียก่อน แล้วเราถึงจะมีโอกาสทำบุญได้ไม่ใช่ว่าเราจะต้องอยู่ใกล้วัด แล้วเราถึงจะมีโอกาสได้ไปทำบุญใหญ่ ๆจริง ๆ แล้ว แม้แต่การทำให้พ่อเราแม่เรามีความสุขตรงนั้นก็เป็นที่มาของบุญใหญ่ ราวกับว่าได้ไปวัดแล้ว
พี่ฉอด: เพราะฉะนั้น เราก็จะสามารถทำบุญกันได้ในชีวิตประจำวันแต่ในขณะเดียวกัน เราก็สามารถจะทำบาปได้ในทุกอย่างในชีวิตประจำวันเช่นเดียวกันด้วย
ดังตฤณ: บาปเนี่ย มันเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าบุญเพราะว่าบาปมาจากไหน มาจากการมีโลภะ การมีโทสะ การมีโมหะแค่สมมติว่าตื่นเช้าขึ้นมาเราพบว่า เครื่องทำน้ำอุ่นไม่ทำงานแล้วเราโกรธโทษฟ้าโทษดิน หรือว่าโทษหมู่บ้าน โทษองค์การไฟฟ้าหรือว่าโทษองค์การประปา หรืออะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ แค่นี้เนี่ยนะครับเกิดความหงุดหงิด เกิดความครุ่นคิด เคียดแค้นอะไรไป มันก็เป็นบาปแล้วในชีวิตประจำวันเราเนี่ย เกิดบุญเกิดบาปขึ้นตลอดเวลาเพียงแต่เราไม่ถูกชี้ให้สังเกต
แต่ว่า พระพุทธเจ้าท่านชี้ให้สังเกตง่าย ๆเมื่อไหร่มีเจตนาที่จะคิดพูดทำ โดยเจืออยู่ด้วยโลภะ โทสะ โมหะตรงนั้นน่ะเป็นบาป หรือว่ากระเดียดไปในทางบาปแล้วแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีความคิดที่จะสละออก มีความคิดเป็นเมตตามีความคิดที่จะทำความสำคัญผิดอะไรต่าง ๆ ให้หายไป ตรงนั้นเป็นบุญอย่างเช่นการบริจาคเนี่ย ถ้าเราเข้าใจพื้นฐานจริง ๆก็คือการทำให้จิตมีเมตตานั่นเอง มีความกรุณานั่นเองคือมันไม่โลภ ไม่ตระหนี่ ไม่หวงไว้
หรือว่าอย่างการที่เราพูดจาสุภาพ เพื่อทำให้คนอื่นเขาฟังแล้วรื่นหูตรงนั้นมันก็คือทำได้ให้ตัวเองโทสะน้อยลงและก็ไม่ก่อให้คนอื่นเกิดโทสะ นี่ก็เป็นบุญอีกเหมือนกันเพราะว่ามีการลดละ มีการออกห่างจากตัวโทสะ ไฟโทสะ ความร้อนของโทสะ
เพราะฉะนั้นนะครับ ถ้าหากเรารู้ว่าจะสังเกตยังไงแล้วเนี่ย ก็จะเห็นเลยว่าแม้แต่กระทั่งเรานั่งคุยกันอยู่เนี่ยพี่ฉอด มันก็เป็นบุญได้เราเพียงแต่รู้ว่า คือ ตั้งใจยังไงให้คนอื่นเขารู้สึกดี ตรงนั้นก็เป็นที่มาของบุญแล้วไม่ต้องไปทำกันที่วัด เราพูดกับคนในบ้านนี่แหละ มันก็เป็นบุญได้
พี่ฉอด: แต่นั่นหมายความว่า เราคงจะต้องมีสติอย่างมาก ๆในการทำอะไรในทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตคือปกติแล้วทุกอย่างมันเป็นไปอัตโนมัติมากน่ะค่ะหลายคนบอกว่า พอโกรธก็โกรธโดยอัตโนมัติไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำไป บางทีมันก็โกรธขึ้นมาหรือจะยิ้มก็ยิ้มอัตโนมัติ แต่เราคงต้องมีอะไรกำกับใจมั้ยคะ
ดังตฤณ: คืออย่างนี้ครับพี่ฉอด ก่อนที่จะมีสติได้ เราต้องมีการเรียนรู้ก่อนเราต้องมีความเข้าใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นเราเข้าใจแล้วว่า โลภะ โทสะ มันเป็นที่มาของบาป มันเป็นมูลเหตุของบาปตรงนั้น ถ้าความเข้าใจตรงนั้นมันขึ้นใจจริง ๆ นะครับมันก็เกิดสติขึ้นมาโดยอัตโนมัติ คือมันจะมีความตั้งใจดี ๆ ตามมาแต่ถ้ายังไม่มีเข้าใจ ตราบใดที่ยังไม่มีความเข้าใจว่าโลภะกับโทสะ มันเป็นที่มาของบาปนะมันเป็นที่มาของความทุกข์นะ สติเราจะไม่เกิดเลยถึงแม้ว่าเกิดขึ้น เรารู้ตัวอยู่ก็ตามว่านี่เรากำลังโลภ นี่เรากำลังโกรธอยู่ แต่มันก็สะใจนั่นเพราะว่า เราไม่มีความเข้าใจว่าเออ ไอ้ตรงนี้เนี่ยมันมูลเหตุของบาป มูลเหตุของไอ้สิ่งที่มันไม่ดีคืออะไรแต่ถ้ามีความเข้าใจจริง ๆ แล้ว มันเข้าถึงใจจริง ยอมรับจริง ๆ ศรัทธาจริง ๆตรงนั้นเนี่ยครับ สติมันจะตามมาเอง
พี่ฉอด: ค่ะ วันนี้ได้อะไรดี ๆ เยอะเลยนะคะ จริง ๆ มันมีอันนึงเหมือนกันคือว่าถ้าเกิดคุณผู้ฟังฟังอยู่แล้วอาจจะรู้สึกค้าน อาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นด้วยหรืออะไรตรงไหนก็ตาม ฟังไปเรื่อย ๆ นะคะ อย่าเพิ่งหมุนไปไหน (หัวเราะ)ไม่.. คือพี่ฉอดเองเป็นคนชอบคิดค้านเหมือนกันเวลาอ่านหนังสือก็จะคิดค้านไปด้วยว่าไม่เชื่อ ไม่จริง
ดังตฤณ: ครับ ผมก็ค้านมาเยอะครับ (หัวเราะ)
พี่ฉอด: แต่ว่ามันจะต้องเรื่อย ๆ ไปถึงจุดนึง แล้วก็จะรู้ว่า อื้ม.. โอเค (หัวเราะ)งั้นเราจะฟังกันไปเรื่อย ๆ ตอนนี้พักซักครู่ก่อน เดี๋ยวกลับมาค่ะ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .