สัมภาษณ์ดังตฤณในรายการกรีนเวฟ FM 106.5
สัมภาษณ์ ดังตฤณ' ช่วง คืนพิเศษ คนพิเศษ' ครั้งที่ ๗๙รายการ กรีนเวฟ FM ๑๐๖.๕ วันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘เวลา ๒๑.๐๐ น. ๒๔.๐๐ น.
ถอดเทปเป็นตัวหนังสือโดย อลิสา ฉัตรานนท์
ช่วงที่ [1][2][3][4][5][6]
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ช่วงที่ 2
พี่ฉอด: ต้องถามย้อนกลับไปนิดนึงก่อนว่า มีความสนใจในเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
ดังตฤณ: ก็.. ตั้งแต่ประมาณ ม. ๕ นะครับ ผมก็เหมือนเด็กทั่วไปที่มีความทุกข์ มีความสุข มีความคาดหวังมีความสงสัยเกี่ยวกับชีวิต เท่า ๆ กับเด็กธรรมดาทั่วไปในวัยนั้นแต่ของผมอาจจะ... ล้ำหน้า มีความสงสัยล้ำหน้าเด็กรุ่นเดียวกันมานิดนึง คือตรงที่ว่าถ้าหากว่าเราเกิดมาแล้วไม่ได้ชอบทำอะไรเลยสักอย่างเดียว มันจะมีชีวิตไปเพื่ออะไรอันนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้อยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของจิตวิญญาณจริงจังตอนนั้นไม่ได้นิยามว่ามันคือธรรมะ แต่นิยามว่า เออ... เป็นเหตุผลภายในเป็นเหตุผลของจิตวิญญาณที่ต้องการแสวงหาคำตอบ ที่น่าพอใจที่สุดในชีวิตจริง ๆ แล้วคุณพ่อก็พยายามที่จะปูพื้นฐานธรรมะมาให้ตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งก็มีอยู่ก่อนหน้านะครับเพียงแต่ว่ามาอยู่ในช่วงที่ลงล็อกจริง ๆ ตอนช่วงประมาณ ม. ๕ ครับ
พี่ฉอด: ก็คือเริ่มต้นจากโจทย์ที่ไม่ได้เป็นเรื่องศาสนา
ดังตฤณ: ไม่ใช่เรื่องศาสนา ครับ
พี่ฉอด: เป็นเรื่องความสนใจหรือความอยากรู้ส่วนตัว กับเรื่องทั่ว ๆ ไปของชีวิตก่อนแล้วอะไรคือสิ่งที่ลากพาเราจนเข้าไปสู่เรื่องศาสนาได้
ดังตฤณ: ตอนแรกก็... อ่านหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียนทีนี้อยู่ ๆ ก็นึกอยากรู้ขึ้นมาว่าวิปัสสนาทำกันยังไงก็ได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ธรรมรักษาที่เกี่ยวกับสมาธิและวิปัสสนาโดยตรง ตรงนั้นเป็นจุดเริ่มต้น
พี่ฉอด: ค่ะ ก็คือเกิดสิ่งที่รู้สึกว่า...
ดังตฤณ: 'ใช่' แล้ว
พี่ฉอด: เราได้คำตอบ ได้คำตอบเพิ่มมากขึ้น ก็เลยศึกษามาเรื่อย ๆ
ดังตฤณ: ครับ ใช่ครับ
พี่ฉอด: ชีวิตช่วงเด็ก ๆ ของคุณตุลย์เป็นยังไงบ้างคะ
ดังตฤณ: ก็เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปน่ะนะครับ คือ...
พี่ฉอด: เป็นคนกรุงเทพฯ?
ดังตฤณ: คือ... เกิดที่ ชลบุรี แล้วก็มาเรียนตั้งแต่ ป.๑ นะครับจริง ๆ แล้วเป็นขี้สงสัยน่ะนะครับ แล้วก็เต็มไปด้วยความกลัว ที่ไร้เหตุผลแล้วช่วงเด็กเนี่ย ด้านไม่ดีจะมีให้เห็นชัดกว่าด้านดี
พี่ฉอด: เช่น... ยังไงคะ (หัวเราะ)
ดังตฤณ: อย่างเช่นปากคอเราะร้าย ทำอะไรไม่ค่อยคิดถึงใจคนอื่นแล้วขี้เกียจเรียนอย่างยิ่งเลย คือ.. ไม่ใช่เด็กเกเรนะครับคือไม่ใช่ประเภทที่ว่าหนีเรียน หรือว่าปีนกำแพงโรงเรียนทุกบ่าย...
พี่ฉอด: ทะเลาะวิวาท ชกต่อย อะไรอย่างงี้
ดังตฤณ: ครับ ไม่ใช่แบบนั้น คือมีบ้าง แต่อืม... เป็นเด็กขี้เกียจเรียนก็แล้วกันเพราะเหตุผลคือ ไม่เห็นเหตุผลความสำคัญของการมีชีวิตว่าจะอยู่ไปเพื่อเรื่องน่าชอบใจอะไรได้คือ ตรงนั้นแหละ... ที่เป็นปมน่ะนะครับคือเรารู้สึกกับชีวิตว่า รู้สึกสังสัยว่า ทำไมเราต้องมี ทำไมเราต้องเป็นอย่างทำการบ้านเนี่ย ทำไมเราต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งคือมัน... มีเหตุผลอะไรที่เราต้องมาเหนื่อยแบบนี้ แล้วเราสงสัยจริง ๆแล้วมันสงสัยที่ค่อนข้างจะล้ำเส้นเด็กวัยเดียวกันเพราะเด็กวัยเดียวกันเนี่ย ก็... จะไม่คิดอะไรมาก อย่างมากเขาให้ทำก็ทำเบื่อบ้างอะไรบ้าง ก็จะไม่อยากหาคำตอบ
พี่ฉอด: สงสัยแล้วถึงขนาดต่อต้านมั้ยคะ ไม่ทำอะไรอย่างเนี้ยะ
ดังตฤณ: ไม่ถึงขนาดต่อต้าน คือผมทำมาตามกฎเกณฑ์ของสังคมทั่วไปอย่างเขาจะจบปริญญาตรีกัน ผมก็พยายามเรียนให้จบนะบอกตรง ๆ ว่าจะเอาใจพ่อ จะเอาใจแม่ถ้าสมมติว่าเกิดมา มีตัวคนเดียวเนี่ย บางที อาจจะไม่ได้เรียนจบปริญญาตรีก็ได้คือคนที่เรียจบปริญญาตรีเนี่ย ส่วนใหญ่นะ เขาเห็นพอยท์ ว่าจะออกมาทำงานแน่นอนจะออกมามีชีวิตที่เป็นสุข มีครอบครัว มีเงินดือนแต่สำหรับผม การเรียนปริญญาตรี คล้าย ๆ กับว่าเรียนเพื่อเอาใจพ่อแม่แล้วก็บอกตัวเองว่า ไอ้ตรงนี้เนี่ย เราทำหน้าที่แล้วนะแต่ระหว่างที่เรียนเนี่ย จริง ๆ แล้วก็เข้าห้องสมุด แล้วก็ไปเปิดพระไตรปิฎกอ่าน
คือตำราเรียนเนี่ย ถึงเวลาต้องอ่าน ก็อ่านตามหน้าที่ บ้าง... แต่ว่าใจไม่ได้รักตอนเข้าห้องสมุด ไปเปิดพระไตรปิฎกฉบับประชาชนของท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพเนี่ยอันนั้นมีความรู้สึกเหมือนไปกินขนม เหมือนได้เวลากินขนมและเป็นขนมที่ชอบ และก็กินได้ไม่เบื่อ
พี่ฉอด: แล้วก็ยังจบมาด้านคอมพิวเตอร์
ดังตฤณ: ใช่ครับ
พี่ฉอด: ทำไมถึงเลือกเรียนทางด้านนี้ล่ะคะ
ดังตฤณ: เพราะช่วงนั้นนะ สารภาพตามตรงว่าเพราะรู้สึกว่ามันเข้ากับผู้ชาย ความเป็นผู้ชายคือเหมือนกับว่า ตามความคิดของเด็กวัยรุ่นเนี่ยถ้าหากว่าเรียนอะไรที่มันเป็นแมน มันก็น่าจะดีกว่าเรียนอะไรประเภทที่...เดี๋ยวคนหาว่าเป็นผู้หญิงอะไรเงี้ยะนะทั้งที่จริงแล้วเนี่ย ถ้าเอาความถนัด เราอาจจะถนัดเรื่องภาษามากกว่าแต่ว่าโดยความรู้สึกเนี่ย บอกว่า ชายน่าจะเรียนเกี่ยวกับกลไกอิเลคทรอนิคส์
แล้วประจวบกับที่ว่าช่วงก่อนที่จะเรียนคอมพิวเตอร์เนี่ยมีความสนใจทางคอมพิวเตอร์อยู่จริง ๆ ด้วยระดับหนึ่ง
พี่ฉอด: แล้วในที่สุดได้เอามาใช้ประกอบอาชีพมั้ยคะ
ดังตฤณ: ครับ พอจบอออกมาก็ทำซอฟท์แวร์อยู่ในช่วงต้น ๆจริง ๆ แล้ว ผมเริ่มต้นวิชาชีพด้วยการสอนคอมพิวเตอร์ในปีสุดท้ายก่อนจบด้วยพอจบมาแล้วถึงได้ทำงานเกี่ยวกับซอฟท์แวร์ซึ่งตอนนั้น อาจารย์สุชัย ธนวัฒน์เสถียร เนี่ยก็... คิดทำเกมส่งออกนอกภายใต้ชื่อบริษัท ไอโซแฟคท์ ก็ไปเป็นเกมดีไซน์เนอร์ให้เขาแล้วขณะเดียวกัน ก็เป็นโปรแกรมเมอร์ไปด้วยแล้วระหว่างนั้น เพื่อนที่บริษัทไอโซแฟคท์ก็แนะนำให้เขียนบทความคอมพิวเตอร์ให้กับซีเอ็ดพอเขียนไปพักนึง ก็ขยับขึ้นเป็น เขียนหนังสือคอมพิวเตอร์
พี่ฉอด: อืม... ก็มาแนวนั้นแล้วล่ะ (หัวเราะ)แต่ในที่สุดแล้ว ก็วกกลับมาในสิ่งที่บอกว่าเป็นขนมหวานสำหรับชีวิตตัวเองจนได้
ดังตฤณ: ครับ คือมาเขียนธรรมะเนี่ย ที่พูดมาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ข้างต้นเนี่ยผมพูดถึงการเขียนเพื่อการเลี้ยงตัวเป็นเรื่องเป็นราวแต่ความจริงแล้ว ก่อนหน้านั้น บทความชิ้นแรกเลยที่ออกสู่สายตาคนอ่านทั่วไปจะเป็นบทความธรรมะ คือเขียนให้กับนิตยสารเครือโลกทิพย์ฉบับนึงน่ะนะครับเพราะฉะนั้น คือก็กล่าวได้ว่าผมเขียนแนวธรรมะมาตั้งแต่ต้นแล้วมีช่วงนึงที่เขียนคอมพิวเตอร์...บ้าง เพื่อเลี้ยงตัว
พี่ฉอด: แล้วมาถึงวันนี้นี่ ถือว่าเขียนหนังสืออย่างเดียวเลยมั้ยคะ
พี่ฉอด: ทำไมไม่ได้คิดว่าจะใช้วิชาคอมพิวเตอร์ในการประกอบอาชีพใด ๆ อีกคิดว่าการเขียนหนังสือ ควรจะเขียนหนังสืออย่างเดียว
ดังตฤณ: มัน... มันถึงจุดที่รู้สึกว่า... พอแล้ว สำหรับหนังสือคอมพิวเตอร์เพราะเราก็เขียนมาพอสมควร และเรารู้สึกว่าตรงนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องทำเพราะปัจจุบันมันก็เหมือนกับ... ช่วงที่หันมาออกหนังสือธรรมะโดยตรงเนี่ยเราก็เหมือนกับ.. เออ.. เราขอแค่พออยู่ก็พอแล้วก็เหมือนคล้าย ๆ ความรู้ความสามารถ ทักษะความชำนาญในการเขียนมันเริ่มเป็นไปได้ ที่เราจะเขียนหนังสือแนวอื่น
พี่ฉอด: ไม่ทราบว่าจะละลาบละล้วงเกินไปรึเปล่าที่จะตั้งคำถามนี้เป็นคนอยากรู้อยากเห็นค่ะ (หัวเราะ)
ดังตฤณ: ครับ ได้ครับ
พี่ฉอด: คือว่า ที่คุณตุลย์เขียนเอาไว้ว่า อะไรก็ตามแต่ มันมีที่มาที่ไปหมายความว่า มันต้องมีเหตุมา แล้วมันถึงจะมีผลทีนี้อย่างวันนี้ ถ้าลองคิดกันว่า เพราะอะไรคุณตุลย์ถึงได้มาเป็นคนเขียนหนังสือธรรมะเพื่อให้ผู้คนได้อ่านแล้วก็ได้รู้ได้เข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น
ดังตฤณ: ผมจำความรู้สึกของตัวเองได้ ในช่วงที่มีความสงสัยในชีวิตอย่างมากแต่ละครั้งที่ผมได้คำตอบอะไรแต่ละอย่างเนี่ย มันมีนิสัยส่วนตัวอย่างนึง ตั้งแต่เด็ก ๆพอรู้อะไร เห็นอะไรแล้ว อยากให้คนอื่นเขารู้หรือว่าได้เห็นตามหรือว่าถ้า... คำถามอะไรที่เป็นคำถามพื้น ๆ คำถามที่ถามกันทั่วไปหรือข้อสงสัยที่คนส่วนใหญ่อยากรู้อย่างเห็นกันเนี่ยถ้าสมมติว่าผมเกิดไปได้คำตอบอะไรที่โดนใจ ที่มันรู้สึกว่าใช่จริง ๆก็อยากจะทำให้คนอื่น ๆ ได้รู้ได้เห็น หรือว่าเข้าใจตามตัวเองและจริง ๆ คือคำตอบเหล่านั้น ไม่ใช่อยู่ ๆ เราไปนั่งหลับตา แล้วไปได้คำตอบมาแต่... ได้ไปศึกษาว่าพระพุทธเจ้าพูดว่ายังไง ครูบาอาจารย์เราพูดว่ายังไงแล้วก็ อื้ม ได้คำตอบที่เป็นข้อสรุปว่า นี่แหละ ใช่จริง ๆคือ 'ใช่จริง ๆ' ตรงนั้นไม่ได้หมายความว่า เรานั่งนึกเอาว่าน่าจะใช่แต่เรา 'เห็น' จริง ๆ ว่าชีวิตมันเป็นแบบนี้ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วเนี่ย ซึ่งเป็นคำพื้น ๆ นะแต่ว่าถ้าลงลึกลงไปในรายละเอียดเนี่ย ทำดีมันมีหลายแบบ ทำชั่วมีหลายแบบอื้ม มันก็ได้จริง ๆ ได้คำตอบโดยรวมแบบที่ง่าย ๆ นั่นแหละที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
อย่าง... ผมมีความหดหู่หรือมีความเศร้าใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยหาสาเหตุไม่เจอทีนี้ ถ้าเราเอาธรรมะมาอธิบาย มันก็ค่อย ๆ ได้คำตอบซึ่งพอได้คำตอบแล้ว ชีวิตเรามันมีความสุขมากขึ้น นั่นก็คือ โอเค โดนใจเราแล้วแล้วทีนี้... อันนี้พูดในเชิงที่... ค่อนข้างจะเปิดเผยนิดนึงนะครับถ้าไม่พูดลงรายละเอียด บางทีมันอาจจะมองไม่เห็นภาพชัดคือ อย่างเรื่องความเศร้า ทำไมเด็กบางคนมันเศร้ามาตั้งแต่เด็ก ๆทำไมยังไม่ทันมีเรื่องอะไรที่น่าจะทุกข์ร้อนมากมายเนี่ยแต่ก็เกิดความรู้สึกเหงาอยู่ลึก ๆ หรือว่ามีความรู้สึกว่าล้มเหลวมา อะไรทำนองนั้นถ้าหากว่าเราไม่โยงไปในเหตุผลซึ่งมันลี้ลับไปกว่าสิ่งที่เราสามารถรู้ได้ด้วยตาเปล่ามันก็ไม่สามารถหาคำอธิบายอะไรได้แต่ถ้าสามารถโยงกลับไปถึงอะไรบางอย่างที่มันอยู่เบื้องหลังจริง ๆมันเป็นเหตุผลจริง ๆ เนี่ย ตรงนั้น เราก็ได้คำตอบพอเราได้คำตอบว่า เออ ชาติก่อนมันมีนะแล้วที่ต้องมีชาติก่อน ก็เพราะว่า มันมีสิ่งที่ปรากฎอยู่เป็นผลที่เรากำลังประจักษ์ ที่เรากำลังเสวยผลอยู่ในขณะนี้
ถ้าหากว่าช่วงเด็กเป็นช่วงที่... ผมอยากจะเรียกว่า 'พิสูจน์ได้'เป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นเครื่องสะท้อน เป็นเวทีแสดงตัวของกรรมเก่าอย่างเต็มที่เพราะช่วงเด็กเราไม่สามารถช่วยตัวเองได้เราไม่สามารถที่จะกำหนด นึกปรารถนาว่าเราจะรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้เพราะฉะนั้น คือ กรรมเก่าเล่นงานได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงและก็มาในจังหวะที่เราไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ เอาตัวรอดได้
ทีนี้ ตรงนี้เนี่ย ผมอยากพูดแค่ตรงที่ว่า เออ ผมได้คำตอบว่าชาติก่อนมันมีจริงและถ้าหากว่า เรามาพูดให้คนยุคเดียวกันฟังอย่างเข้าใจเนี่ยนะเราก็พูดถึงสิ่งที่เขาเคยกันมาแล้ว ในช่วงเด็กเนี่ยเราก็สามารถที่จะสื่อสารกับเขาได้ มันมีความรู้สึกสนุกที่จะทำให้คนอื่น ๆ ได้เห็นตาม แล้วก็ตรงนั้น มันก็เป็นความสุขชนิดหนึ่ง
พี่ฉอด: จริง ๆ แล้ว จะบอกว่าเป็นเรื่องดี หรือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายดีคะที่เรามีชาติก่อนจริง ๆ แต่ว่า.. เราไม่ได้รับอนุญาตให้จำอะไรได้
ดังตฤณ: ถ้าหากว่า ทุกคนสามารถที่จะจำอดีตชาติได้อืม... ผมว่ามันจะวุ่นกว่านี้นะ เพราะบางทีเราจำได้ก็จริงนะว่าเราเป็นอะไรมา แต่ว่าเราจะรู้สึกกระอักกระอ่วนน่ะอย่างหลายคู่นะครับ ที่เป็นสามีภรรยากัน หรือเป็นแฟนกันเนี่ยนะครับถ้าเขาจำได้ว่าเคยเป็นพ่อเป็นลูกกันมา หรือว่าเคยเป็นพี่เป็นน้อง อะไรต่าง ๆ เนี่ยมันก็คงจะรู้สึกประดักประเดิดที่จะมาจับคู่จู๋จี๋กันแล้วก็จะมีเงื่อนไขอะไรเกิดขึ้นอีกเยอะแยะที่ทำให้ชีวิตมันไม่เป็นอิสระอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้
เพราะฉะนั้น ในแง่ของการลืม ที่ธรรมชาติขีดเส้นไว้แบบนั้นมันมีเหตุผลที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่มันกำลังเป็นอยู่ไม่ใช่เป็นความอยุติธรรม แต่มันเป็นสิ่งที่ 'ควร' จะเป็นไปเพื่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า 'ธรรมชาติ'
พี่ฉอด: ซึ่งบางที สมมติเราเกิดมาตอนนี้ แล้วเราเจออะไรก็ตามที่มันเป็นเรื่องร้าย ๆ เป็นเรื่องไม่ดี แล้วเราก็มีคำตอบว่าอ๋อ... เพราะว่าเราเคยทำมาเมื่อก่อน เราก็อาจจะรู้สึกเถียงอันนี้ พูดแทนตัวเองว่า ก็ตอนนั้นก็ไม่เห็นรู้เลย ถ้ารู้ก็ไม่ทำซิ (หัวเราะ)มันจะมีอารมณ์นึงเกิดขึ้นนะคะ
ดังตฤณ: ใช่ครับ เพราะมนุย์เราเนี่ย ชอบหาความยุติธรรมด้วยการเข้าข้างตัวเอง คือ... อันนี้คือไม่ได้พูดถึงพี่ฉอดนะ
พี่ฉอด: (หัวเราะ)
ดังตฤณ: คือพูดโดยรวมทั่วไปนะครับ ว่ามนุษย์เนี่ยจะเข้าข้างตัวเองว่าควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่ควรจะเป็นอย่างนี้แต่อีกปีนึงต่อมา ไอ้ความควรจะเป็น หรือไม่ควรจะเป็นของเราเนี่ยมันอาจจะเลี่ยนไปก็ได้ นี่ขนาดคนคนเดียวกันนะนี่ยิ่งถ้ามนุษย์เอามารวม ๆ กันเข้าเนี่ย มันยิ่งต่างความเห็นถ้าสมมติว่า อ่ะ... จะยกมือโหวตให้ธรรมชาติเป็นแบบนั้นแบบนี้แล้วธรรมชาติจะเป็นไปตามนั้นเนี่ยนะคงวุ่นวายน่าดู เพราะทุกคนจะโหวตเอาแต่อะไรเข้าตัวเอง
คือการที่เราไม่สามารถรู้ได้ ว่าธรรมชาติเขาออกกฎอะไรไว้บ้างเนี่ยจริง ๆ แล้วคือความโหดร้ายของธรรมชาติอย่างหนึ่งเป็นการแสดงความโหดร้ายของธรรมชาติอย่างหนึ่ง
เพราะถ้าสมมติว่ามีเสาอะไรขึ้นมาซักเสากลางโลกนะบอกว่า นี่ ข้อหนึ่ง กฎ ถ้าฆ่าสัตว์จะอายุสั้นข้อสอง ถ้าขโมยทรัพย์ ถ้าลักทรัพย์ เดี๋ยวทรัพย์จะพินาศ อะไรต่อมิอะไรออกกฎไว้ชัดเจนเนี่ย แล้วทุกคนไม่สามารถเถียงได้ อย่างนี้มันก็มีแต่คนทำดี
พี่ฉอด: ชีวิตจะง่ายเข้า
ดังตฤณ: ครับ คือมันจะไม่มีอะไรที่เป็นสองด้านเรื่องบุญเรื่องบาปเนี่ย มันจะมีแต่บุญอย่างเดียว อันนั้นมันจะไม่เป็นธรรมชาติธรมชาติคือมีสองขั้ว มีด้านเหนือ มีด้านใต้ มีขั้วบวก มีขั้วลบ มีด้านขาว มีด้านดำตรงเรื่องของบุญของบาปก็เหมือนกัน'บุญ' เป็นตัวแทนของความสว่าง 'บาป' เป็นตัวแทนของความืดแล้วถ้าเรามีแต่ด้านสว่างอย่างเดียวเนี่ย การดำเนินไปของธรรมชาติก็จะสะดุดชะงักเพราะมันไม่มีการเหวี่ยงตัวของน้ำหนักที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนที่ไป
พี่ฉอด: ย้อนกลับมาที่เมื่อกี้นิดนึง ประโยคที่ว่า 'ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว'อาจจะมีหลาย ๆ คนเถียงอยู่ในใจตอนนี้ว่า ทำดีมาตั้งเยอะ ไม่เห็นจะได้อะไรดีเลยหรือบางคนอาจจะ เห็น ๆ อยู่ว่าเขาเป็นคนทำชั่วแต่ทำไมเขาถึงยังได้อะไรดีกว่าเราเยอะอยู่ อะไรงเงี้ยะค่ะ
ดังตฤณ: สิ่งที่จะทำให้คนเราไม่เชื่อเรื่องวิบากกรรมมากที่สุดก็คือเรื่อง 'คิว' ของการให้ผลกรรมเนี่ยแหละ เราไม่สามารถมองเห็นได้ว่าการที่เขาเสวยสุขในรูปแบบที่... เรารู้สึกหมั่นไส้เนี่ยนะ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
เราเห็นแต่ว่า เอ๊.. เขาโกงนี่ เขาพูดไม่ดีนี่ เขาไปย่ำยีคนอื่นนี่เขาประพฤิติดทางศีลธรรม อะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ เนี่ยแล้วเราไปเห็นแต่ส่วนนั้น แล้วเราก็ตัดสินว่าเขาไม่ควรจะได้เสวยสุข อย่างที่กำลังเป็นอยู่ไม่ควรที่จะมีรถคันยาว ๆ ขี่ ไม่ควรจะมีบ้านหลังใหญ่ ๆ ได้อาศัย
แต่ทีนี้ ธรรมชาติเขาจะไม่บอกอย่างนั้นเขาบอกว่า เนี่ย ตอนนี้มันถึงคิวที่เขาจะต้องได้เสวยผลดีอยู่ก่อนเหมือน... คนที่เขาสร้างเรือยอร์ทช์ลำใหญ่ ๆ ขึ้นมา ได้ลอยลำไปกลางทะเลแล้วเขาสร้างของเขามาอย่างนั้น เขาสร้างเรือมาได้ เขาก็สมควรจะอยู่บนเรือทีนี้ ไอ้การที่เขาจะเอาค้อนปอนด์มาทุบเรือของเขา โป้ง ๆ ๆเพื่อให้เรือมันแตกทำลายไป อันนั้นก็เป็นสิทธิ์ของเขาแต่ว่า ไม่ใช่พอเขาทุบโป้งเดียว แล้วเรือมันจะล่มลงไปทันทีมัน... บางทีต้องอาศัยเวลาอันนี้เป็นภาพอันใหญ่ ๆ คร่าว ๆ น่ะนะครับว่าทำไม... เราอยากเห็นเขาล่มจม แต่มันถึงไม่ล่มซะทีก็เพราะว่าเรือของเขาใหญ่ มันใหญ่พอแต่เมื่อไหร่ เขาทุบไปจนกระทั่งน้ำมันเข้ามาจริง ๆวันนึงเรือก็ต้องล่ม แล้วไม่ใช่สิทธิ์ของเราที่จะไปแช่งเขา ให้รีบล่มจมลงมันเป็นสิทธิ์ของธรรมชาติที่เขาจะตัดสินแล้วธรรมชาติตรงนั้น ก็คือธรรมชาติกรรมวิบากนั่นเอง
พี่ฉอด: อันนั้นคือกรณีที่ดูเหมือนทำไม่ดี แต่ได้ดีแล้วกรณีที่ทำดีแล้วทำดีไม่ได้ซักทีล่ะคะ
ดังตฤณ: ก็อาจจะเป็นเพราะว่า 'คิว' ที่จะแสดงผลกรรมดีมันยังมาไม่ถึงทำนองเดียวกันน่ะครับ คือ ถ้าสมมติว่าเขาก่อไฟล้อมรอบตัวเองไว้หลายกองแล้วเพิ่งมาหาน้ำ หรือว่าคิดวิธีดับไฟได้เนี่ยอยู่ ๆ ไปเอาน้ำสาดโครมเดียว แล้วกองไฟเป็นสิบ ๆ กอง ที่มันใหญ่ ๆมันจะดับทันทีมันก็เป็นไปไม่ได้ มันยังไม่มีเหตุผลอันสมควร
คือหน้าที่ของเราเนี่ย บางทีเนี่ยนะ เราอาจจะต้องทำใจนิดหนึ่งธรรมชาติเขาเล่นแบบนี้แหละ เขาไม่บอกกฎเรา แต่ถ้าเราทำถูกกฎ เราก็ได้ผลดีถ้าเราทำผิดกฎ เราก็ไม่รู้นะว่ามันผิด จนกว่าผลมันจะแสดงออกมาซึ่งก็... ไม่ประมาทไว้ดีที่สุดครับ
พี่ฉอด: ค่ะ ถ้ามองอีกมุมนึง ชีวิตก็เป็นเรื่องท้าทายน่าสนุกนะคะ (หัวเราะ)ค่ะ มาถึงช่วงนี้ 'คืนพิเศษ คนพิเศษ' ที่กรีนเวฟค่ะเราฟังข่าวกันก่อน แล้วซักครู่เราจะกลับมานั่งคุยในชั่วโมงที่สองกันต่อไป อีกซักครู่ค่ะ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .