สัมภาษณ์ดังตฤณในรายการกรีนเวฟ FM 106.5

สัมภาษณ์ ‘ดังตฤณ'
ช่วง ‘คืนพิเศษ คนพิเศษ' ครั้งที่ ๗๙
รายการ กรีนเวฟ FM ๑๐๖.๕
วันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘
เวลา ๒๑.๐๐ น. – ๒๔.๐๐ น.

ถอดเทปเป็นตัวหนังสือโดย อลิสา ฉัตรานนท์

ช่วงที่ [1][2][3][4][5][6]

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ช่วงที่ 5

พี่ฉอด: ในช่วงนี้เนี่ย มันก็จะมีหลาย ๆ กรณี
ที่เป็นความอยากรู้ หรือเป็นความสงสัยของคนทั่ว ๆ ไป
ซึ่งทางพี่ฉอดเองหรือทีมงานก็ไปหาคำถามเหล่านี้มาจากทั่ว ๆ ไป
ในคนทุกคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นกัน

ทีนี้พูดถึงเรื่องของมนุษย์ ก็คงต้องหนีไม่พ้นเรื่องความรัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกคนก็คงอยากจะรู้เกี่ยวกับเรื่อง...
แบบเวลาไปหาหมอดูอะไรอย่างเงี้ยะ แล้วทุกคนก็จะถามเรื่องเนื้อคู่กัน

จริง ๆ แล้ว อันนึงที่ได้ทราบก็คือว่า คำว่า 'เนื้อคู่' ของคนเรา
ไม่ได้หมายความจะต้องเป็นคู่กันไปในทุก ๆ ชาติ
ถูกมั้ยคะ เพราะว่าชาตินี้เราเป็นคู่กับคนนี้ ชาติหน้าเราจะไปเป็นคู่กับคนอื่นได้
ซึ่งมันอาจจะไม่ตรงกับความเชื่อเมื่อก่อนนี้ ที่เรารู้สึกว่า เออ ฉันต้องไปเจอคู่แท้
ซึ่งตอนนี้มันเปลี่ยนไปอีกแล้วความเชื่อนี้

ดังตฤณ: คือคนเนี่ย มักจะถามกันเรื่องเนื้อคู่ เพราะว่าเชื่อว่าตัวเองมีคู่ที่แท้อยู่
หรือพูดง่าย ๆ ว่าปักใจว่า คนทุกคนเกิดมาเนี่ยจะต้องมีคู่อยู่แน่ ๆ
จริง ๆ แล้วผมขอพูดว่า ทุกคนเกิดมาอยากจะมีคู่ดีกว่า
คือไม่ใช่ว่าทุกคน 'ต้องมีคู่' แต่ทุกคน 'อยากจะมีคู่'
นะครับ อันนี้ต่างกันนิดนึง อันนี้ก็เพราะว่าธรรมชาติเขามีกลไกบังคับเอาไว้น่ะนะครับ
คือทำให้ร่างกายเหมือนขาดส่วนประกบประกอบอะไรบางอย่างไป ขาดความอบอุ่น
จิตใจมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ก็จึงมีอาการไขว่คว้าหาส่วนมาเติมเต็ม
ที่เป็นลูกล่อลูกชนของธรรมชาติเขา
แล้วก็เป็นที่มาของอุปาทานทึกทักว่า แต่ละคน จะต้องมีคู่ของตัวเอง

เหตุที่ทำให้เจอคู่ดีคู่เลวมีอยู่มากนะครับ
และที่เป็นแรงบังคับผลักไสหรือว่าหน่วงเหนี่ยวจากอดีตก็มี
ที่เป็นแรงยุของเพื่อนดีเพื่อนเลวในปัจจุบันก็มี ที่เป็นความด่วนได้ในขณะหน้ามืดก็มี
พูดง่าย ๆ ว่าเหตุผลที่ตัวเองไปเลือกคู่มาเนี่ย มันหลากหลาย
คือแล้วแต่ว่า ตอนนั้นจะเข้าใจยังไง เชื่อยังไง

ขอยกตัวอย่างเพียงสังเขปนะครับ อย่างกรณีผลักไสจากบุญบันดาล
ถ้าเป็นการสนับสนุนของบุญเนี่ย มันก็จะบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ดี ๆ
ประจวบเหมาะให้พบกันแล้วก็ซึ้งใจกัน มีโอกาสให้เกื้อกูลกัน
อย่างกรณีผลักไสของบาป หรือว่าการบังคับของบาปเนี่ย
ก็จะบันดาลเหตุการณ์ร้าย ๆ ให้ประจวบเหมาะได้พบกัน
แล้วก็ผูกมัดกัน จนดิ้นจากกันไม่หลุด
โดยมากการผูกมัดเนี่ย ก็จะมาในรูปแบบของเซ็ทที่ไม่เหมาะสม

อันนี้พอเราพูดถึงเรื่องคู่เนี่ย เราก็โยงมาหาปัญหาของสังคมปัจจุบัน
คือเรื่องความประพฤติผิดทางเพศเนี่ย มันเจอกันอยู่ทั่วไป
ซึ่งก็เหมือนกับ น่าจะเป็นคำตอบได้คร่าว ๆ ว่า
ทุกคนอยากมีคู่เพราะธรรมชาติบังคับโดยทางอ้อม ให้ไปมีคู่
ส่วนจะไปเลือกใครมาเป็นคู่นั้นน่ะ มันมีหลายเหตุผลนะครับ

พี่ฉอด: แล้วในที่สุดแล้ว มีมั้ยคะ ใครที่ถูกกำหนดมาว่าไม่มี
แถวนี้ท่าจะมีเยอะ ทีมงานกรีนเวฟวี้ดวิ้ว (หัวเราะ)

ดังตฤณ: คือจริง ๆ แล้วนะครับ คำถามนี้เนี่ย กำลังเกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหง
ไม่ใช่เฉพาะที่กรีนเวฟนะครับ

พี่ฉอด: ค่อยยังชั่ว ค่อยสบายใจขึ้น (หัวเราะ)

ดังตฤณ: คือจริง ๆ แล้วถ้าเราบอกว่า หาคู่กันไม่ค่อยเจอเนี่ยนะ
เป็นเพราะสังคมปัจจุบัน เริ่มมีแนวโน้มที่จะ... ผู้ชายอยากจะมีคู่นอนเยอะ
นี่พูดกันแบบตรงไปตรงมาถึงแก่นของปัญหานะครับ
พอคนอยากหลับนอนกับใครต่อใครไม่เลือกหน้า ให้ได้มากที่สุดเนี่ย
มันก็เกิดความรู้สึกที่ผิวเผินต่อกัน คือไม่อยากแคร์กัน
แค่มีเรื่องกันนิดเดียวเนี่ย ก็พร้อมที่จะชิ่งหนีออกจากกันแล้ว

แล้วที่มันหาได้ยากเนี่ย ตอนแรกเนี่ยมันก็หาได้ยากอยู่แล้วนะ
ที่จะเอาคนสองคนที่มีความเหมาะสมกลมกลืน ถูกอัธยาศัยกัน
เข้ากันได้โดยธาตุมาประกบกันเนี่ย มันยากอยู่แล้ว
แต่ทีนี้พอมันมาประจวบกับยุคสมัยที่คนมักง่ายทางเพศกัน
มันก็ยิ่งยากหนักเข้าไปอีก
เพราะว่าแต่ละคนเนี่ย... พูดถึงผู้ชายน่ะนะครับ
จะไม่พูดถึงคู่แท้ แต่จะพูดถึงคู่นอน และมีเยอะเลยนะครับ
ประเภทอายุสามสิบสี่สิบแล้วเนี่ย ก็ยังไม่แต่งงาน
ไม่อยู่กินกับใครเป็นหลักเป็นแหล่ง คือไม่คิดที่จะแสวงหาด้วย
ไอ้ที่จะมาเป็นบ่วงผูกคอ อยากจะทำไปเรื่อย ๆ แบบที่เคยทำในช่วงหนุ่ม ๆ ใหม่ ๆ

ทีนี้พอผู้ชายเริ่มแบบนี้ มันก็มีผลกระทบไปถึงผู้หญิงด้วย
คือผู้หญิงโดยธรรมชาติแล้วเนี่ย ต้องการผู้ชายคนเดียว
มีผู้ชายคนเดียวในชีวิต แต่พอมันไม่เจอ
แล้วก็มีการสนับสนุนจากสื่อต่าง ๆ โดยทางอ้อม
ว่าไม่ต้องมีเพียงคนเดียวก็ได้ มีไปหลาย ๆ คนก็ได้
มันก็คล้าย ๆ จะมีพฤติกรรมที่คล้าย ๆ เป็นโรคระบาด
มันลามไปถึงผู้หญิงด้วยว่า คิดแบบเดียวกัน คือผู้ชายมีหลายคนได้
ไม่แคร์กับการมีชีวิตคู่ที่แท้จริงได้ ผู้หญิงก็ทำแบบนั้นได้เหมือนกัน

ซึ่งถ้าหากว่าเราปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เนี่ย
ก็ประหนึ่งว่า จะสนับสนุนให้การไม่มีคู่ถาวรมันเกิดขึ้นทุกหัวระแหง
แล้วที่บอกว่าหาคู่ยากเนี่ย เดิมทีโดยธรรมชาติมันหายากอยู่แล้ว
ที่จะมีคนมาเข้าคู่กับเรา แล้วไปเพิ่มความยากเข้าไปอีก ตรงที่ว่า
ไม่มีใครมีแก่ใจที่จะปลูกบ้านสร้างเรือน ทำครอบครัวให้มันเป็นหนึ่ง
จะไปแสวงหาเศษหาเลยกันทั้งชีวิต
เพราะฉะนั้นเนี่ยครับ ตรงนี้เนี่ยนะ มันมีเหตุผลทางธรรมชาติอยู่ด้วย
ว่าถ้าไม่ได้ทำมาด้วยกันจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจอธิษฐานมาอยู่ด้วยกันจริง ๆ เนี่ย
โอกาสที่จะมีอัธยาศัยกลมกลืนกันมันยากอยู่แล้ว
แล้วก็มาประจวบกับยุคสมัยที่สนับสนุนให้มีคู่หลายคนอะไรอย่างนี้
มันก็ยิ่งไปกันใหญ่

พี่ฉอด: แล้วถ้าเกิดจะถามคำถามโดนใจของทุกคนว่า
ถ้าเกิดอยากจะมีคู่ดี ๆ ซักคนนึง ควรจะต้องทำอย่างไรคะ

ดังตฤณ: ครับ คือตรงนี้นะ เอาคำตอบของพระพุทธเจ้าเลย
เพราะมีคนที่พยายามจะอธิบายหลากหลายแนว
แต่เอาที่มันเป็นของจริงตามธรรมชาติดีกว่า

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าหากคนจะอยู่ร่วมกันได้ ทั้งในชาตินี้
และก็ไปเจอกันในชาติหน้าด้วย ด้วยความเหมาะสมกันเนี่ย

หนึ่ง ต้องมี ศรัทธา เสมอกัน
สอง ต้องมี ศีล เสมอกัน
สาม ต้องมี จาคะ เสมอกัน
สี่ ต้องมี ปัญญา เสมอกัน

ตัว ศรัทธา นี่นะครับ คือ ตัวที่เชื่ออะไรเหมือน ๆ กัน
ส่วนเรื่องของ ศีล ก็คือ.. เหมือนคนตัวหอมเนี่ย
ก็จะไม่อยากอยู่กับคนตัวเหม็นใช่มั้ยครับ
และคนตัวเหม็น ก็มักจะหมั่นไส้คนตัวหอม อะไรแบบนี้ใช่มั้ย
เพราะฉะนั้น ถ้ามีศีลเสมอกันเนี่ย มันก็หอมเหมือนกัน ก็พึงพอใจกันและกัน

จาคะ คือการสละออก เรื่องการสละนี่ มีนัยลึกซึ้งหลายนัยนะครับ
แต่พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าสมมติว่าผัวคิดทำบุญ เมียเกิดรู้สึกต่อต่อต้าน อย่างนี้ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้
หรือว่าผัวอยากช่วยคน เมียบอกไปช่วยทำไม อย่างนี้ก็รู้สึกจะต้องเถียงกันแล้ว
ว่า เอ๊ย เอาเงินส่วนของเรา เอาเวลาส่วนของเรา เอาไปบริจาคให้คนอื่นทำไม มันก็เถียงกัน
แต่ถ้าชอบที่จะช่วยเหลือคนเหมือน ๆ กัน มันก็เกิดกิจกรรมร่วมกันได้ แล้วก็มีความสุขร่วมกัน

ส่วนข้อสุดท้ายคือ ปัญญา ปัญญานี่ก็มีทั้งปัญญาทางโลก และก็ทางธรรม
ถ้าปัญญาทางโลก ก็พูดง่าย ๆ ว่าใช้ภาษาเดียวกัน คุยด้วยภาษาเดียวกัน
และก็มีอัธยาศัยในการพูดคุยเรื่องทั่ว ๆ ไปเหมือนกัน
ส่วนปัญญาทางธรรม ก็หมายความว่า มีความรู้จักบุญ รู้จักบาปเหมือน ๆ กัน
เชื่อเรื่องบุญ เชื่อเรื่องบาป แล้วก็พร้อมที่จะประกอบแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เหมือน ๆ กัน
ตรงนี้เนี่ย มันก็จะทำให้เกิดความกลมกลืน

สี่ข้อนี้นะครับ ศรัทธา ศีล จาคะ แล้วก็ ปัญญา
ถ้าหากว่าเสมอกัน หรือว่าอย่างน้อย ไปในทิศทางเดียวกันแล้ว
ก็จะเกิดความกลมกลืน แล้วก็ความรู้สึกเป็นสุขที่จะได้อยู่ด้วยกัน
แต่ถ้าหากว่าสี่ข้อนี้ไม่เสมอกันแล้ว โอกาสที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ก็ดูจะเลือนราง
ซึ่งเราก็จะเห็นจากคู่ทั่ว ๆ ไป ที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้แหละ
แล้วก็ในอดีตด้วย แล้วก็ในอนาคตด้วย

บอกได้เลยว่า เรื่องของศรัทธา ศีล จาคะ แล้วก็ปัญญา ที่จะจูนให้เสมอกันได้
ต้องมาจากสิ่งเดียวเท่านั้นครับ คือ 'ศรัทธาในเรื่องเดียวกัน'
พระพุทธเจ้าท่านถึงขึ้นด้วยศรัทธา
ถ้าเชื่อเรื่องเดียวกันซะแล้วเนี่ย โอกาสที่จะทำอะไรสอดคล้องกลมกลืนกัน
แล้วมีความสุขอยู่ด้วยกันทั้งชีวิต ก็เป็นไปได้

บางคนนะ ถึงกับบอกเลยว่า คือเขาวิเคราะห์กันมา บอกว่า
ธรรมชาติเนี่ย เหมือนกับดีไซน์ ออกแบบให้มนุษย์มาอยู่ด้วยกัน มาจับคู่กัน
แต่เสียดาย ที่ไม่ได้ออกแบบให้อยู่ด้วยกันได้
คือหมายความว่า ส่งมาแต่แรงดึงดูด ว่าจะต้องมาอยู่ด้วยกัน
แต่ว่าพอมาอยู่ด้วยกันแล้ว ไม่มีปัจจัยอะไรเกื้อกูลให้อยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง
ตรงนี้เป็นเรื่องของการวิเคราะห์

แต่ถ้าสมมติว่าเขาได้มาศึกษาพุทธศาสนา แล้วดูให้มันจริง ๆ จัง ๆ อย่างลึกซึ้งว่า
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เรื่องศรัทธา เรื่องศีล เรื่องจาคะ เรื่องปัญญาเนี่ยนะ
มันจะทำให้เกิดความสุข เกิดความผูกมัด เกิดความป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ตรงนี้เนี่ย ชาติหน้านะ ไม่ต้องหาคู่เลย คือจะได้ไปเจอกันแน่นอน
อันนี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้ายืนยันนะ เวลาคนไปถามท่านเนี่ย
ว่าทำยังไงถึงจะได้อยู่ด้วยกันตลอดรอดฝั่ง
ทั้งในชาตินี้ และก็ได้ไปเจอกันในชาติหน้า พระพุทธเจ้าตอบแบบนี้
ซึ่งถ้าหากว่าเราดูจากความเป็นจริงนะ เราก็จะเชื่อเลยว่า
เนี่ย มันเป็นหลักการที่ถูกต้องแล้ว เพราะว่าคนเราจะมีความสุข มันต้องมีเหตุ
คนเราจะรู้สึกว่ากลมกลืนหรือว่าอยากอยู่กับใครเนี่ย
มันไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ มันต้องมีความสมเหตุสมผลอยู่
ซึ่งก็นี่ ตรงนี้ล่ะครับ คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

พี่ฉอด: แล้วเราจะมีวิธีมั้ยคะ ในการที่จะทำยังไง
ที่เราจะได้เจอกับคนที่มีอะไรเสมอกัน
ที่กลมกลืนกันทั้งสี่ประการอย่างที่ว่าเนี่ย ต้องทำยังไง

ดังตฤณ: ต้องตอบเป็นสองข้อนะครับ

ข้อแรก รอดวงอย่างเดียว ซึ่งรอดวงเนี่ย
มันน้อยคนมากที่จะเคยมีสี่ข้อนี้เสมอกันมาก่อนในอดีตชาติ แล้วก็ได้มาเจอกัน
ซึ่งการรอเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องของมนุษย์ มันเป็นเรื่องของสิ่งมีชีวิตที่สิ้นหวัง

แต่ถ้า มาดูข้อสอง ข้อสอง คือสร้างเหตุปัจจัย
ที่จะไปเจอคนที่มีศรัทธา มีศีล มีจาคะ มีปัญญา อย่างนั้น
แบบเดียวกัน ระดับเดียวกัน
พูดง่าย ๆ คือเข้าไปในสถานที่ เอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มันจะได้เจอ
คนที่มีศรัทธา มีศีล มีจาคะ มีปัญญานะ เขาไม่อยู่ตามที่สถานเริงรมย์
ไม่อยู่ตามผับ ไม่อยู่ตามโรงระบำจั้มบ๊ะอะไรพวกนั้น
แต่เขามักจะไปอยู่ตามวัดกัน สมัยก่อนนี้จะไปพบกันตามวัด
แต่สมัยนี้ก็มีส่วนหนึ่งของอินเตอร์เน็ทที่อุทิศให้กับคนที่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า
มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน
พูดง่าย ๆ ว่าเว็บบอร์ดธรรมะ หรือว่าเว็บไซต์เกี่ยวกับธรรมะ

เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าถ้าเรารู้จักที่จะ 'เลือก'
เอาตัวไปอยู่ในที่ที่มีสิทธิ์จะเจอคนเหล่านั้น โอกาสที่จะเจอมันก็สูงขึ้น
แต่ถ้าเรายังรังเกียจคนที่มีศรัทธา คนที่มีศีล คนที่มีจาคะ คนที่มีปัญญา
โอกาสที่มันจะเจอก็น้อย ตรงนั้น คือคำตอบแบบรวม ๆ นะครับ

พี่ฉอด: มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการหาคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของคนที่
อาจจะเกิดมาแล้วอยากเป็นเพศอื่นน่ะค่ะ
เป็นผู้หญิงแต่ใจเป็นผู้ชาย หรือเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นผู้หญิง
ตรงนี้เพราะว่าเขาทำอะไรมายังไง

ดังตฤณ: จริง ๆ มันก็... ขอให้สังเกตว่า
ความรู้สึกผิดปกติทางเพศ มันก็คือเรื่องทางเพศ
ถ้าผิดปกติทางเพศ แล้วอธิบายว่า
เพราะเคยทำสิ่งที่ผิดทางเพศมา มันฟังดูเป็นเหตุเป็นผลกันใช่มั้ยครับ
เพราะทำผิดทางเพศมา ถึงมีความผิดปกติทางเพศ
เนี่ย ธรรมชาติเขามีเหตุมีผลของเขาแบบนี้

คืออย่างถ้าหากว่า พูดง่าย ๆ นะครับ เคยเป็นแมงดามา
เคยหากินกับความทุกข์ของผู้หญิง
เคยไปปล้นสวาทคนอื่นเขามา แบบไปข่มขืน ไปอะไรต่อมิอะไร
โดยไม่มีความละอาย ไม่มีความรับผิดชอบเลย
ตรงนั้นล่ะครับ ธรรมชาติจะสั่งสอน ให้ได้มารู้จักความอับอาย

เพราะว่า... คือ เราต้องยอมรับ คืออันนี้ขออภัยนะครับ
คือเราพูดตามเนื้อผ้านะครับ ไม่ได้พูดเพื่อให้เกิดความกระทบกระทั่ง
หรือพูดให้เกิดความรู้สึกต่ำต้อย น้อยเนื้อต่ำใจอะไรกันนะครับ
ว่ากันโดยธรรมชาติ ถ้าหากเราทำกรรมไปโดยไม่มีความอับอายในช่วงหนึ่ง
ช่วงต่อมา ธรรมชาติจะสั่งสอนเรา โดยบันดาลอะไรบางอย่างมาให้เกิดความอับอาย

อย่างยกตัวอย่างในเรื่องทางเพศ ถ้าหากว่าเราทำผิด ประพฤติผิดไป
โดยไม่เกิดความอับอาย ไม่เกิดความละอายเลย
ในจังหวะต่อมา ในช่วงต่อมา เราจะได้รู้จัก ซึ่งธรรมชาติเขาก็จะจัดสรร
บางคนเนี่ย คือจะรู้ตัวเองเลยนะครับว่า ผิดปกติมาตั้งแต่เกิด
หมายความว่าตั้งแต่จำความได้ ก็ชอบอย่างนั้นมาตั้งแต่แรกเลย
ไม่ใช่ว่ามีใครชักจูง ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะเป็นอย่างนั้น
ตรงกันข้าม เขารู้สึกเสียใจที่เป็นแบบนั้น รู้สึกไม่ดีที่เป็นแบบนั้น ตลอดทั้งชีวิต
ตรงนั้น ถ้าหากว่าเราไม่เอาเรื่องของอดีตมาพูด
มันจะไม่มีอะไรให้พูด ภาพของเหตุและผลมันจะขาดไป
เพราะฉะนั้น พูดง่าย ๆ ว่าสำหรับคนที่ผิดปกติมาตั้งแต่แรกเนี่ย
มันเป็นเรื่องของอดีต ซึ่งอาจจะเข้าใจยากนิดนึง

แต่เรื่องที่... บางทีเราเข้าใจได้ง่าย ๆ นะ
ผมยกตัวอย่าง มีดาราอยู่ท่านหนึ่ง เคยให้สัมภาษณ์ว่า
ตอนแรกเขาเป็นผู้ชายปกติ แต่พอได้มาแสดงเป็นแต๋ว
เป็นอะไรที่มันออกทางเพศที่สามมาก ๆ เข้า มันเกิดความรู้สึกชอบขึ้นมา
หรืออย่างผมเคยรู้จักคนนึงที่เขาตอนแรกก็เป็นผู้ชายดี ๆ
ก็คบกันแบบเพื่อนผู้ชายแท้ ๆ เลยนะ
แต่หน้าตาเขาสวยเหมือนผู้หญิง และถูกล้อมาก ๆ เข้า
จนในที่สุดเขาเกิดความรู้สึกเชื่อขึ้นมา
เพราะฉะนั้น จริง ๆ แล้ว เหตุแห่งการผิดปกติทางเพศ
มันเป็นได้ทั้งอดีตกรรมในชาติก่อน แล้วก็เป็นไปได้ทั้งปัจจุบันกรรม
คือไปทำอะไรบางอย่าง หรือไปคิดอะไรบางอย่าง หรือไปเชื่ออะไรบางอย่าง
แล้วมันก็เกิดการกระตุ้นให้มีความรู้สึกไวต่ออีกด้านหนึ่งของเพศตรงข้าม

เพราะจริง ๆ แล้ว ผู้ชายกับผู้หญิงเนี่ย ทางแพทย์เขารู้นะครับในปัจจุบันเนี่ย
จริง ๆ แล้วเป็นผู้หญิงมาก่อนเหมือน ๆ กัน
คือผู้ชายเนี่ยนะ เคยเป็นผู้หญิงมาก่อน อวัยวะเพศคือยังไม่ได้งอกออกมา
ต่อมามีปัจจัยอะไรที่เรียกว่า เรื่องโครโมโซมเอ็กซ์วาย อะไรต่อมิอะไร ทำให้มันงอกออกมา
ตอนเริ่มต้นเลยเนี่ย เป็นอวัยวะเพศหญิงเหมือนกันหมด
เพราะฉะนั้นเนี่ย หมายความว่า เพศชายเพศหญิงเนี่ยนะ
เป็นแค่ของหลอกตา จริง ๆ แล้วมันมีการปรุงแต่งของกรรม
ทั้งจากกรรมที่มันลี้ลับในอดีต แล้วก็กรรมที่มันเป็นปัจจุบัน
ไปกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเป็นเพศหญิงขึ้นมา
ไม่จำเป็นว่าเราอยู่ในร่างของชาย แล้วจะไม่มีความรู้สึกทางเพศหญิงเลย
มันมีได้ เพราะว่าเดิมทีทุกคนเป็นผู้หญิงเหมือนกันหมด
แต่มีบุญเก่าบางอย่างที่ทำให้ปรากฎเป็นรูปชายขึ้นมา ซึ่งอันนี้เราก็พูดไปตั้งแต่ต้นรายการ
ว่ามันคือการริเริ่มทำบุญด้วยความหนักแน่น หรือว่ามีความกล้าหาญ
ที่จะทำอะไรเพื่อคนอื่น ตรงนั้นก็จะเป็นเหตุผลักดันให้เกิดอัตภาพของชายขึ้นมา

พี่ฉอด: แล้วเป็นไปได้มั้ยคะว่า ถ้าเกิดเราไปทำอะไรที่ไม่ดีในเรื่องแบบเนี้ยะ
เช่น เป็นคนเจ้าชู้มาก แล้วผลกรรมมันจะตกทอดไปถึงลูกถึงใครในครอบครัวเรา
มันมีโอกาสที่จะส่งต่อไปยังคนอื่นได้มั้ยคะ

ดังตฤณ: ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้านะครับ เราต้องบอกว่า
แต่ละคนมีกรรมเป็นของตัวเอง มีกรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นแดนกำเนิด
ตรงคำว่า 'มีกรรมเป็นแดนกำเนิด' เนี่ย
เป็นคำตอบสำหรับคำถามของพี่ฉอดเมื่อครู่นี้

คือคนที่เจ้าชู้เนี่ย ดูเหมือนกับว่ากรรมจะตกไปอยู่กับลูกเขาที่ถูกทำเจ้าชู้บ้าง
หรือถูกคนเจ้าชู้มาหลอกบ้าง อะไรทำนองนี้น่ะนะ
อันนั้นก็เป็นเพราะว่า ลูกสาวเขามีกรรมที่จะต้องมารับแบบนั้นอยู่แล้ว
ก็เลยมาเกิดเป็นลูกของคนเจ้าชู้
คือเหมือนกับว่า กรรมเดิมของเขาอาจจะเคยเป็นผู้ชายเจ้าชู้มาก็ได้
เลยต้องมาอยู่ในสถานภาพที่จะเสี่ยง หรือล่อแหลมต่อการถูกหลอก
ตรงนั้น มันก็ดูราวกับว่ากรรมของพ่อถ่ายทอดไปถึงลูก
จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ทุกคนมีกรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นแดนเกิด
เราเคยทำอะไรมายังไง ก็จะไปเกิดในที่ที่สอดคล้องกับกรรมแบบนั้น

พี่ฉอด: นั่นหมายความว่า กรรมของตัวเขาเองนั่นแหละ เป็นจุดเริ่ม เป็นที่มา

ดังตฤณ: อันนั้นพูดถึงเรื่องวิบากกรรมอย่างเดียว
แต่ทีนี้ ถ้าพูดถึงผลกระทบทางอ้อม ยกตัวอย่างเช่น
มาเกิดในบ้านที่พ่อ ผู้นำครอบครัว ชอบเล่นพนัน เล่นจนหมดเนื้อหมดตัว
แล้วก็พลอยทำให้คนอื่นลำบากไปด้วย มันก็อธิบายได้ว่า...
คือคนเป็นผู้นำเนี่ย ชี้ชะตา ว่าจะพลอยทำให้ลูกเต้า ลูกเมีย พลอยลำบากไปด้วยหรือเปล่า
ตรงนั้นเนี่ย คือถ้าสมมติว่ามองกันด้วยตาเปล่า เหมือนกับว่า
พ่อทำกรรมชั่วแค่คนเดียว แล้วความเดือดร้อนก็พลอยตกไปถึงครอบครัวด้วย
อันนั้นอาจจะมีส่วนในแง่ของความสัมพันธ์
คือพอมาเป็นลูกของคนแบบนี้ มันก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับความเดือนร้อนไปด้วย
ทีนี้ถ้าหากว่าเรามอง เราเชื่อเรื่องของกรรมอย่างบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ร้อยเปอร์เซนต์เนี่ย
ก็ต้องบอกว่า ถ้าหากว่าพ่อชั่วอยู่คนเดียว แล้วทำให้ครอบครัวเดือดร้อนเพราะว่าไปเล่นพนัน
ตรงนั้น ถ้ามีบุญของคนอื่นในครอบครัวประกอบอยู่ ก็จะทำให้ครอบครัวไม่ตกต่ำเกินไปนัก

ตัวอย่างเช่น บางคน ลูกบางคนทำบุญมามาก
แล้วบุญเนี่ย ไม่อนุญาตให้จน ในชาติที่เกิดมาเสวยวิบากกรรมตรงนั้น วิบากขาวตรงนั้น
ก็จะ... อย่างเด็กบางคนเป็นศิลปินขึ้นมาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ก็สามารถร่ำรวยขึ้นมาได้
มีนะครับ ที่ลูกร่ำรวย แต่พ่อแม่เอาไปผลาญ
แต่ก็ผลาญไม่หมด เพราะว่าลูกรวยเกิน เกินที่จะผลาญได้หมด
นี่คือตัวอย่าง ว่ากรรมสัมพันธ์เนี่ย เป็นเรื่องละเอียดอ่อนซับซ้อนนะครับ
แต่ไม่ใช่ว่ามีการถ่ายทอดกรรมจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้

พี่ฉอด: เพราะฉะนั้น แปลว่ากรรมของใครก็ของมัน

ดังตฤณ: ของใครของมัน แต่ว่ามาเกื้อกูลกันได้ หรือว่ามาฉุดดึงกันได้เหมือนกัน
คือถ้าสมมติว่าอยู่ในครอบครัวเดียวกัน หรือว่าอยู่ในจังหวะที่ต้องอยู่ในภาวะพึ่งพา
บางทีมันก็เป็นไปตามทิศทางของพ่อแม่เหมือนกัน อันนั้นต้องยอมรับ
แต่ไม่ใช่ว่า พ่อทำ แม่ทำ แล้วกรรมนั้นไปตกอยู่กับลูก ไม่ใช่นะครับ

พี่ฉอด: ค่ะ มีคำถามอีกเยอะมากเลยนะคะสำหรับคืนนี้
ไม่รู้จะตอบกันหมดหรือเปล่า
เดี๋ยวตอนนี้พักซักครู่ค่ะ ยังมีช่วงสุดท้ายค่ะ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

 

ช่วงที่ [1][2][3][4][5][6]