สัมภาษณ์ดังตฤณในรายการกรีนเวฟ FM 106.5
สัมภาษณ์ ดังตฤณ' ช่วง คืนพิเศษ คนพิเศษ' ครั้งที่ ๗๙รายการ กรีนเวฟ FM ๑๐๖.๕ วันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘เวลา ๒๑.๐๐ น. ๒๔.๐๐ น.
ถอดเทปเป็นตัวหนังสือโดย อลิสา ฉัตรานนท์
ช่วงที่ [1][2][3][4][5][6]
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ช่วงที่ 1
เสียงผู้ประกาศชาย:"เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน หนังสือชื่อสะดุดหู ที่สร้างปรากฏการณ์ทำให้หนังสือธรรมะขาดตลาดได้อย่างไม่น่าเชื่อภายในเวลาไม่กี่เดือน พิมพ์ไปแล้วถึงยี่สิบครั้ง ด้วยยอดขายเกือบหนึ่งแสนเล่ม"
เสียงผู้ประกาศชาย:"เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน ในความรู้สึกของ สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์"
เสียงคุณสิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์:"เป็นคนชอบอ่านหนังสือธรรมะอยู่แล้วน่ะนะคะพอเดินร้านหนังสือแล้วเจอเล่มนี้ก็ปิ๊งในชื่อของหนังสือก่อนแต่พออ่านเข้าไปแล้วเนี่ย ถือว่าเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ให้แง่คิดในเรื่องของธรรมะ แล้วก็การใช้ชีวิตโดยไม่ประมาทด้วยเพราะฉะนั้น พออ่านจบแล้วก็จะทำให้เราสำรวจตัวเราเองแล้วก็ช่วยเตือนสติ ช่วยเตือนใจเรา ให้เราดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทน่ะค่ะ"
เสียงผู้ประกาศชาย:"คุณจักรภพ เพ็ญแข รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง"
เสียงคุณจักรภพ เพ็ญแข:"ตอนที่เห็นหนังสือ 'เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน' เนี่ยนะครับก็นึกว่าเป็นความ 'เฉี่ยว' ของนักเขียน ที่ตั้งชื่อได้โดนใจ คงจะมีผลดีต่อการขายแต่พอจับอ่านเข้าจริง ๆ เนี่ย ...ผมเปลี่ยนใจนี่คือคนปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นที่สามารถกลับออกมาจากป่าหิมพานต์แล้วก็เอาทุกข์ของคน ซึ่งตัวเขายังจำได้อยู่เนี่ย มาตีแผ่ทีละขั้น ทีละตอนแล้วก็เล่าให้ฟังด้วยว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับใจเป็นการวิเคราะห์จิตใจของผู้ที่จะเตรียมการสำหรับรับธรรมะได้ดีที่สุดเลย
ผมอ่านแล้วเกิดความรู้สึกเลยว่า นี่แหละ..คือธรรมะของคนรุ่นใหม่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนได้อ่านหนังสือคุณดังตฤณแล้วก็ไม่ต้องไปนั่งเสียดายอยู่ในหลุม (หัวเราะ)แล้วก็บอกว่า เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน"
เสียงผู้ประกาศชาย:"คุณ... คงเสียดายถ้าไม่ได้อ่านและเรา... คงเสียดาย ถ้าไม่ได้เชิญดังตฤณมาเป็นคนพิเศษของเรา'คืนพิเศษ คนพิเศษ' ครั้งที่ ๗๙ ยินดีต้อนรับคุณศรันย์ ไมตรีเวชเจ้าของนามปากกา 'ดังตฤณ' เป็นคนพิเศษในค่ำคืนนี้...." (เสียงปรบมือ)
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
พี่ฉอด: วันนี้เราได้รับเกียรติมาก ๆ จากคุณศรันย์ ไมตรีเวชเจ้าของนามปากกา 'ดังตฤณ' ขออนุญาตเรียกคุณตุลย์ สวัสดีค่ะคุณตุลย์
ดังตฤณ: สวัสดีครับพี่ฉอด และก็ท่านผู้ฟังทุกท่านนะครับ
พี่ฉอด: พี่ฉอดก็เป็นคนนึงเหมือนกันที่เดินไปที่ร้านหนังสือแล้วก็ไปเจอหนังสือเล่มนี้เข้า แล้วก็ไปซื้อมาอ่าน แล้วในที่สุดก็เลยถึงขั้นซื้อแจก (หัวเราะ)
ดังตฤณ: โอ้โห.. ขอบคุณมากครับพี่ฉอด
พี่ฉอด: เพราะว่าพออ่านแล้วจะรู้สึกอยากให้คนอื่นอ่านด้วย ก็เลยโทรศัพท์ไปที่...อันนี้ยังไม่เคยได้เล่าให้ฟังมาก่อนหน้านี้นะคะ เล่าไปพร้อมกับคุณผู้ฟังเลย...โทรไปที่สำนักพิมพ์ค่ะ แล้วก็ไปถามเขาว่า ถ้าจะซื้อเยอะ ๆ เนี่ย เขาก็ลดราคาให้ซื้อมาเยอะมาก แล้วก็แจกลูกน้อง (หัวเราะ)
ดังตฤณ: คราวหลังเอาจากผมฟรี ๆ เลยนะ สำหรับพี่ฉอดนะครับ
พี่ฉอด: อยากอุดหนุนค่ะ อุดหนุนค่ะ (หัวเราะ)ทีนี้ คุณผู้ฟังกรีนเวฟหลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่า เอ๊... หนังสือเล่มนี้มีดียังไงนะทำไมใครต่อใครหลาย ๆ คนถึงพากันพูดถึง แม้แต่พี่ฉอดเองก็รู้สึกอย่างที่ว่านี้ตอนนี้พิมพ์ไปซักกี่ครั้งแล้วคะ
ดังตฤณ: นั่นล่ะครับ อย่างที่บอกไปในต้นรายการประมาณ ๒๐ ครั้ง คืออันนี้เป็นข้อมูลเดือนมิถุนายนนะครับ
พี่ฉอด: ถ้านับเป็นจำนวนเล่มที่ได้จำหน่ายออกไป ประมาณซักเท่าไหร่คะ
ดังตฤณ: คือจะมีช่วงแรก ๆ ที่พิมพ์ ๒,๕๐๐ เล่มบ้างแล้วก็มีสองครั้งที่พิมพ์ ๑,๐๐๐ เล่ม นอกนั้น จะพิมพ์ครั้งละ ๕,๐๐๐ เล่มนับตั้งแต่ดีเอ็มจีเห็นแน่นอนแล้วนะครับว่าหนังสือน่าจะไปได้เรื่อย ๆ
พี่ฉอด: ค่ะ สิริรวมตอนนี้...
ดังตฤณ: ก็... น่าจะเฉียด ๆ ที่...
พี่ฉอด: เกือบ ๆ แสนนึงใช่มั้ยคะ
ดังตฤณ: ตามต้นรายการครับ ใช่ครับ
พี่ฉอด: ที่บอกอย่างนี้เนี่ย จะบอกว่าเป็นที่น่ายินดีที่คนจำนวนนับแสนคนที่มีโอกาสได้อ่าน นะคะ
ดังตฤณ: ครับ ก็ดีใจตรงจุดนั้นด้วยครับ
พี่ฉอด: ก่อนอื่น สิ่งแรกที่ทุกคนเจอหนังสือเล่มนี้แล้วเห็นปุ๊บแล้วจะต้องรู้สึกสะดุดก่อนก็คงจะเป็นชื่อ ได้ชื่อนี้มาได้ยังไงเอ่ย
ดังตฤณ: จริง ๆ แล้วก็มีคนที่เขาขอให้ผมเขียนหนังสือให้ญาติเขาซึ่งกำลังจะตายตอนนั้น คือรับไอเดียมา ก็บอกว่า เออ ดีเหมือนกัน เพราะว่าที่ผ่านมาเนี่ยเหมือนกับเขียนหนังสือให้คนเป็นมาตลอด ยังไม่เคยเขียนหนังสือให้คนใกล้ตายเพราะว่าคำถามของคนเป็นกับของคนที่กำลังจะตายเนี่ย แตกต่างกันมันก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเรา เป็นคอนเซปท์เป็นไอเดียที่ เออ น่าจะทำ
ทีนี้ ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเขียนยังไงให้คนที่ใกล้จะตายได้อ่านหนังสือจะออกมาในแนวที่ว่าเป็นเล่มเล็ก ๆ แล้วก็พูดถึงวิธีเตรียมตัวก่อนตายหรือว่าเป็นพุทธวิธีเพื่อที่จะตายอย่างสงบ อะไรทำนองนี้น่ะนะครับตอนแรก ๆ คิดอยู่ แต่ยังไม่ได้ตกลงปลงใจว่าจะเขียนแนวไหน
ทีนี้ มีอยู่วันนึง หลังจากที่เขาขอมา ซักประมาณเดือนหรือสองเดือนเนี่ยผมกำลังจะเข้าห้องน้ำ แล้วก็เกิดแว่บนึกขึ้นมาว่าเอ๊... ญาติคนที่เขาขอเนี่ย เสียชีวิตไปแล้วรึยัง?ถ้าหากว่าเสียชีวิตไปแล้วเนี่ย ก็น่าเสียดายเหมือนกันที่เรายังคิดไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าจะเขียนในแนวไหนมันก็เลยบวกกันออกมา เสียดาย... ถ้าคนตายจะไม่ได้อ่าน
พี่ฉอด: ก็เลยปิ๊งขึ้นมาเป็นคำนี้
ดังตฤณ: ครับ นั่นล่ะครับ พอปิ๊งคำนี้ขึ้นมาปุ๊บก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะคิดคอนเซปท์ของหนังสือให้มันจริงจังขึ้นมาเราก็ได้ตรงนั้นที่ว่า คนเป็นจะถามอย่างหนึ่งถามว่าทำยังไงจะรวย ทำไงถึงจะสวย จะหล่อ ทำไงถึงจะมีแฟนเยอะแต่ว่าคนตายเนี่ย ก็จะมีคำถามไปอีกแบบนึงเลยว่านรก สวรรค์ ชาติหน้า มีจริงรึเปล่า? ถ้าหากว่ามี จะเตรียมตัวตายยังไง?และทุกชาติทุกภาษาจะเป็นแบบนี้คนที่เขามีความรู้สึกว่าจะอยู่ไปได้เรื่อย ๆ มัน... จะมองไปอย่างนึงคนที่ไม่มีอะไรจะให้มองแล้ว ไม่มีอนาคตจะให้มองแล้วก็จะได้คำถามอีกแบบนึง มาสู่ใจและเขาต้องการคำตอบที่... พูดง่าย ๆ ว่า เตรียมตัว เพื่อการเตรียมตัวว่าถ้าหากเขาจะต้องตายไปในภาวะแบบนี้ ควรจะทำใจยังไงควรจะคิดยังไง หรือว่าทำบุญอะไรยังไง
เพราะฉะนั้น มันก็เลยเอามารวมไว้เลยสำหรับคนเป็น เราก็ให้คำอธิบายว่า ตรงนี้ ที่เขามาเป็นอย่างนี้เนี่ยไม่ว่าจะเป็นหญิงเป็นชาย จะรวย จะฉลาดหรือว่าจะมีฐานะดี อะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ มันเพราะอะไร
แล้วก็ถ้าหากว่า จะตายไปแล้วเนี่ยมีสิทธิ์ไปไหนได้บ้าง หากว่าถือเอาตามพฤติกรรมที่กำลังทำ ๆ กันอยู่ทุกวันนี้ที่กำลังประพฤติปฏิบัติกันเป็นปกตินี่แหละ มันไปไหนได้บ้าง
แล้วสุดท้ายก็คือ ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่เนี่ยระหว่างมีชีวิตอยู่ ทำยังไงถึงจะคุ้มค่าที่สุด
มันก็ออกมาเป็นคำถามสามข้อใหญ่ ๆคือเกิดมาเป็นอย่างนี้ได้ยังไง แล้วถ้าตายแล้วจะไปไหนได้บ้างแล้วก็ถ้ายังอยู่ ควรจะทำอะไรที่ดีที่สุดอันนี้ก็เลยกลายเป็นคอนเซปท์คือไม่ใช่เฉพาะคนตายอย่างเดียว แต่ว่ายังสำหรับคนเป็นด้วย
พี่ฉอด: นั่นก็เลยเป็นที่มาของว่าเอ้อ... เสียดายนะ ถ้าหากว่าตายไปโดยที่ไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้
ดังตฤณ: ใช่ครับ
พี่ฉอด: ก็เป็นอะไรดูจะที่ท้าทายสำหรับพวกเรา ๆ อย่างมากน่ะนะคะพี่ฉอดเชื่อว่าคำถามนึงที่อยู่ในใจคนเป็น ๆ เสมอ ๆ ก็คงจะอยู่แถว ๆ นี้แหละว่า เออ.. เราตายแล้วไปไหน ตายแล้วยังไง แล้ว... ความตายดูจะเป็นความลับดำมืดอยู่ในใจทุกคน และทุกคนก็มีสิทธิ์ได้เจอแค่ครั้งเดียว แล้วมาบอกต่อกันก็ไม่ได้ด้วย (หัวเราะ)
พี่ฉอด: เพราะฉะนั้น ก็ดูเป็นเรื่องของความท้าทายยิ่งขึ้นทีนี้ ในฐานะที่เราเป็นคนเขียนเนี่ยค่ะ คุณตุลย์คิดว่าอะไรทำให้คนสนใจหนังสือเล่มนี้มากขนาดนี้ แล้วก็ให้การตอบรับมากขนาดนี้
ดังตฤณ: ผมคิดว่าคงเป็นคำตอบที่โดนใจน่ะนะครับสำหรับความสงสัยของคนธรรมดาทั่วไป อย่างที่เรียนแล้วว่าทำไมถึงเกิดมาเป็นอย่างนี้ ตายแล้วสาบสูญ หรือว่าไปไหนได้บ้างตลอดจนกระทั่ง ระหว่างมีชีวิตอยู่ควรจะทำอะไรให้คุ้มค่าที่สุดเพราะว่าคำถามเหล่านี้เป็นคำถามสามัญถ้าได้คำตอบที่โดนใจ ก็จะมีความพอใจขึ้นมาทีนี้ ที่โดนใจเนี่ยนะ ไม่ใช่เพราะว่าผมคิดขึ้นเองแต่ว่าเพราะผมยกพุทธพจน์มาแสดงเป็นหลักตั้งอย่างชัดเจนก่อนกับทั้งใช้ภาษาและก็ความรู้แบบคนรุ่นใหม่เข้าไปประกอบก็เลยทำให้หลายคนอ่านแล้วไม่รู้สึกว่าต้องเชื่ออะไรแบบงมงายไม่มีคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลพอรับฟังได้
พี่ฉอด: เพราะฉะนั้น จุดที่สำคัญจุดนึงก็คงจะเป็นเรื่องความง่ายของการใช้ภาษาหรือว่าการอธิบายที่เป็นเรื่องที่... คนรุ่นใหม่อ่านส่วนใหญ่เรามักจะนึกถึงว่า หนังสือที่เขียนอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้มักจะเป็นเรื่องยาก ๆ เป็นภาษายาก ๆ
ดังตฤณ: อย่างพี่ฉอดบอกว่าง่าย แต่ก็มีบางคนบอกว่ายากเหมือนกัน
พี่ฉอด: ก็ยังยากอยู่บางส่วน ใช่มั้ยคะ
ดังตฤณ: คือบางทีนะครับ ผมเห็นว่าขึ้นอยู่กับแบ็คกราวนด์ของแต่ละคนอย่างตอนเนี้ยะ ที่ทราบสถิติล่าสุด คนอ่านที่อายุน้อยที่สุดเนี่ย เก้าขวบเขาบอกว่าเขาอ่านได้ แล้วเอาไปโรงเรียนด้วยนะแต่ว่าบางคนคือ... ก็อายุมากแล้ว บอกอ่านยากเป็นอะไรที่เขารู้สึกอ่านไม่รู้เรื่อง อย่างนั้นก็มีเหมือนกันคือเราก็ยอมรับทั้งสองทางนะเราก็มองว่า จะยากหรือง่ายเนี่ย บางทีมันตัดสินกันด้วยแบ็คกราวด์หรือว่าความรู้สึกของคนอ่านเหมือนกัน ไม่ใช่อยู่ที่ตัวหนังสืออย่างเดียว
พี่ฉอด: รวมไปถึงการเปิดรับด้วย เปิดใจที่จะรับกับสิ่งที่อ่านด้วย
ดังตฤณ: คงจะอย่างนั้นครับพี่ฉอด
พี่ฉอด: เพราะว่าแรก ๆ จำได้ว่าครั้งแรกเปิดที่อ่านจะอ่านแบบคนธรรมดาสามัญทั่วไปมากคือเลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่อยากรู้ก่อน (หัวเราะ)
ดังตฤณ: น่ะ ถ้าอ่านแบบนั้นได้นะพี่ฉอด จะเป็นการอ่านที่เหมาะที่สุด
พี่ฉอด: ประมาณว่าแบบ อุ๊ยตาย ทำแบบนี้แล้วสวย ชั้นอ่านก่อน ชั้นอยากสวย (หัวเราะ)อะไรอย่างเงี้ยะนะคะ แล้วค่อยกลับมาอ่านอีกทีนึงในรายละเอียด ก็จะทำให้เข้าใจมากขึ้น
ดังตฤณ: ครับ ครับ โอ ที่จริงแล้วนี่เป็นคำแนะนำในการอ่านสำหรับคนยังไม่ได้อ่านได้ดีมากเลยนะครับ
พี่ฉอด: อ๋อเหรอ ทำไมคะ (หัวเราะ)
ดังตฤณ: เพราะว่าบางคนนะพี่ฉอด เขาอ่านเรียงตามลำดับพอไปเจอคำอะไรที่... อย่างเช่น อจินไตย อย่างเนี้ยะ เขาวางเลยเขาบอกศัพท์ธรรมะ เขาไม่เอา ชาตินี้ตั้งใจไว้ว่าจะไม่อ่านธรรมะ (หัวเราะในลำคอ)แต่ว่าถ้ามีคำถามอะไรที่เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่ธรรมะ มันเป็นเรื่องใกล้ตัวเขาอย่างเช่นทำยังไงจะรวยเนี่ย อย่างนี้อยากอ่านซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็คือธรรมะนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเขาไม่รู้ว่าตรงนั้นเป็นหลักการ เป็นกฎ เป็นเกณฑ์ของธรรมชาติอะไรที่เป็นเกณฑ์ของธรรมชาติ อะไรที่เป็นกฎของธรรมชาติเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ นั่นแหละ 'ธรรมะ' ทั้งหมด
พี่ฉอด: ทีนี้ถ้าเกิด... ใครซักคนนึงที่ไม่นับถือศาสนาพุทธล่ะคะแล้วอ่านหนังสือเล่มนี้จะได้มั้ยคะ
ดังตฤณ: คือจริง ๆ แล้วเนี่ย หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เพื่อเขียนให้คนในพุทธศาสนาได้อ่านหลักฐานอย่างหนึ่ง ผมเห็นคนที่ไม่สนใจธรรมะเยอะเลย คือเค้าสะดุดที่หน้าปกอันนี้เล่าตามตรงนะครับ จากประสบการณ์ที่ไปยืน ๆ ดูมาบ้างเนี่ยเขาสนใจที่ชื่อหนังสือ 'เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน'เขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่พุทธศาสนา เขาเลยหยิบขึ้นมาแต่พอพลิกดูเนื้อหาด้านใน เห็นว่ามีคำว่าทาน มีคำว่าศีลอะไร เขาก็วางคืนที่ทันทีคือตรงนี้เราไม่ได้เสียใจนะ แต่เราได้มุมมองกลับมาว่าตัวปกหนังสือเนี่ย ไม่ได้ดึงดูดเฉพาะคนที่เป็นพุทธศาสนิกชนแต่ว่าเป็นใครก็ตามที่อ่านภาษาไทยออก แล้วก็มีชีวิตแบบธรรมดา ๆคนทั่วไปเนี่ยแหละ ที่ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายตรงนั้นก็เลยเป็นข้อยืนยันว่าสำหรับปกนะ เราต้อนรับคนทุกศาสนาแต่ทีนี้ ในแง่ของเนื้อหา ก็ต้องยอมรับว่า ถ้าหากไม่ใช่คนในพุทธศานาจะรับยากซักนิดนึง เพราะว่าเนื้อหาทั้งหมดเนี่ย ผมยกพุทธพจน์มาเป็นหลักตั้งหมายความว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้ เกี่ยวกับเรื่องไหนเนี่ยผมก็เอามาเป็นหลักตั้ง แล้วค่อยขยายความตามประสบการณ์ ความรู้หรือว่าความรู้สึกนึกคิดแบบคนรุ่นใหม่
ทีนี้ ขอให้สังเกตก็แล้วกันว่า แต่ละเรื่องแต่ละอย่างที่ผมยกมาอย่างยกตัวอย่างเช่น ทำไมถึงเกิดมาเป็นมนุษย์เนี่ย มันมีแง่มุมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มันมีแง่มุมที่คนรุ่นใหม่ คนยุคเดียวกันกับผมสามารถรับรู้ตามได้มันมีเหตุมีผลมีที่มาที่ไป แล้วก็สามารถเอามาลงล็อกกันได้หมด
ผมก็อยากจะขอชี้ตรงนี้ว่า ไม่ว่าท่านจะเป็นคนที่มีความเชื่อในแบบใดมาหรือว่าแม้แต่คนที่ก่อตั้งธรรมะก็ตามนะครับขอให้ลองอ่านดู แล้วก็ลองดูแล้วกันว่ามันมีเหตุผลหรือว่ามีหน้าไหน บรรทัดไหน ที่จะสามารถเอาไปจูนกับท่านได้ติดเพราะว่าการจูนกันได้ติด ก็คือการที่มีแง่มุมใดมุมหนึ่งที่สอดรับกัน ยอมรับกันได้เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนศาสนาไหน หรือว่าไม่มีศาสนาเลยก็ขอให้ลองดูเถิดว่า หนังสือโดยรวมเนี่ยนะครับ ตอบคำถามอะไรท่านได้บ้าง
พี่ฉอด: และตรงไหนบ้างที่จะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตได้นะคะ
ดังตฤณ: ตรงที่มีความเข้าใจ... ว่าชีวิตเนี้ยะ มาได้ยังไงแล้วก็ ชีวิตนี้... จะเกิดอะไรขึ้น หลังจากไม่มีชีวิตแล้ว
ถ้าหากว่าเรามีความเข้าใจเริ่มต้นกันที่ความเข้าใจเนี่ยมุมมองทั้งหมดในชีวิตมันจะต่างไปคือเราจะเริ่มถามว่าไอ้เนี่ย ทำไปแล้ว มันมีโทษรึเปล่าไอ้นี่ ทำไปแล้วเป็นประโยชน์หรือเปล่าไอ้นี่ ทำไปแล้ว มันจะไปออกหัวออกก้อยท่าไหนคือไม่ใช่เฉพาะชาติหน้าที่มองไม่เห็นนะครับอย่างถ้าหากว่าเราเข้าใจจริง ๆ นะครับ ว่าเรื่องของทาน เรื่องของศีลปรุงแต่งรูปร่างหน้าตาให้เปลี่ยนแปลงไปได้ในปัจจุบันชาติเลยเนี่ย มันก็จะเกิดกำลังใจอย่างที่พี่ฉอดบอกว่า เอ๊... ทำยังไงถึงสวย ผู้หญิงอ่านก่อนเลย
ตรงนี้ก็คือ เล่มนี้ก็จะบอกได้ด้วยนะครับว่า ไม่ต้องรอชาติหน้านะถ้าหากว่าทำทาน รักษาศีลจริง ๆ แล้วก็เข้าใจจริง ๆว่าการทำทานรักษาศีล มันคือการทำให้จิตบริสุทธิ์ขึ้น มันมีความสะอาดมากขึ้นและความสะอาดของจิตใจ มันก็ไปปรุงแต่งให้ร่างกายมันดีขึ้นอย่างทางแพทย์ก็ยอมรับกันทั่วไปว่า ถ้าหากว่าคิดดี ทำดี พูดดี ไม่เครียดแล้วก็ทำจิตใจให้สบาย พูดจาอะไรที่มันอ่อนหวาน น่ารัก มันก็มีการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมายิ่งถ้าทำสมาธิ มันยิ่งหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมามาก มันก็มีความสุขมากทันทีแล้วร่างกายมันก็จะปรับเปลี่ยนไปตามความสุขคนที่มีความสุขมาก ๆ ในชีวิต ในแต่ละวันเนี่ยหน้าตาก็ผ่องใส เบิกบาน หัวคิ้วไม่ขมวด และผิวพรรณก็เปล่งปลั่งนี่คือตัวอย่าง นะครับ
คือเราจะเข้าใจชีวิตออกมาจากอีกมุมมองนึง คือเราจะเห็นเหตุผลว่าทำไมต้องคิดดีคนมักจะถามว่า ทำไมต้องไปคิดดีด้วยล่ะ ทำไมต้องพูดดีด้วยล่ะ พูดเอาสะใจไม่ได้เหรอคือพอโจทย์ของชีวิตมันเปลี่ยนไปแล้วเนี่ยคำถาม คำตอบ อะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ มันก็จะเปลี่ยนไปด้วยแล้วก็วิธีการ 'เลือก' ใช้ชีวิต มันก็จะพลิกไปอีกแง่มุมหนึ่ง
พี่ฉอด: จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เราเคยได้ยินมากัน ที่ผ่าน ๆ มา กับสิ่งที่ได้อ่านจากหนังสือเล่มนี้บางอย่างน่ะนะคะ ก็มีผลอย่างที่คุณตุลย์ว่าคือเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตได้เช่น เมื่อก่อนเราได้ยินบ่อย ๆ 'เกิดหนเดียว ตายหนเดียว'แค่เนี้ยะ... เราก็จะรู้สึกว่าวิถีชีวิตเรา มันคงต้องทำอย่างนึง
ดังตฤณ: ใช่ครับ ใช่
พี่ฉอด: แต่พอเรามีความเชื่อเรื่องชาติภพขึ้นมา เราก็จะรู้สึกว่าชีวิตเราต้องทำอะไร... อีกอย่างนึงเพื่อเตรียมการไว้
ดังตฤณ: มีการเตรียมตัว ใช่ครับ พี่ฉอดสังเกตมั้ยครับคำว่า 'เกิดหนเดียว ตายหนเดียว' เนี่ย มันติดหูคนง่ายนะ
พี่ฉอด: ใช่ค่ะดังตฤณ: คือมันสอดคล้องน่ะ กับความรู้สึกภายในที่บอกว่าก็มันรับรู้แค่นั้น เกิดมามันไม่มีความจำอะไรมาเลยถ้าสมมติว่ามีชาติก่อนเนี่ย ทำไมทุกคนไม่จำได้ล่ะ ทำไมถึงลืม อย่างเงี้ยะ ใช่มั้ยทีนี้ เราก็ต้องค่อย ๆ มาหาคำอธิบาย อย่างเช่นว่าเออ... ตอนที่อยู่ในท้องเก้าเดือนนั้นน่ะ มันมีระบบล้างความจำของธรรมชาติเขาอยู่นะนานตั้งเก้าเดือนเนี่ย แล้วก็จิตตกเป็นภวังค์อยู่ตลอดเวลา เกือบตลอดเวลาอย่างเงี้ยะหรือว่าสภาพร่างกาย ประสาท สมอง อะไรยังไม่พร้อมที่จะทำงานมันก็เลยเหมือนกับว่า เก้าเดือนนี้ เป็นการลบ ลบความจำออก
ทีนี้บางคนไม่ถูกลบออกหมด ประเภทระลึกชาติได้อะไรอย่างนี้ มันก็ยังมีติดมาเพราะฉะนั้น มันก็กลายเป็นข้อถกเถียง เพราะถ้าทุกคนระลึกชาติได้ ไม่ต้องเถียงแต่ถ้าแค่คนสองคนระลึกชาติได้ แล้วบอกว่า เฮ้ย.. มันจริงหรือไม่จริงเนี่ยมาเถียงกัน มาหาคำอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ว่าอ๋อ... มันตกทอด สืบทอดมาผ่านยีน ผ่านอะไรต่อมิอะไรต่าง ๆก็หาคำอธิบายกันมากมาย มันก็กลายเป็นข้อถกเถียงที่ไม่รู้จบ
เพราะฉะนั้น คือ ถ้าหากว่าเรามานั่งเถียงกันว่าชาตินี้ชาติก่อนมีจริงหรือเปล่าเนี่ยคนทั่วไปจะบอกว่า 'ไม่น่าจะจริง' ตามสามัญสำนึก ถึงแม้จะมีคนบอกว่าเขาระลึกชาติได้แต่ทีนี้ถ้าเรา ค่อย ๆ ศึกษา แบบเป็นเหตุเป็นผลไปนะว่าทำอย่างนี้ มันได้ผลออกมาอย่างนี้ เพราะทำดี มันถึงหน้าตาออกมาดีนะพูดง่าย ๆ ว่าสืบสาวไปจากเหตุผลที่ยอมรับได้ จับต้องได้ ง่าย ๆ ก่อนแล้วมันจะค่อย ๆ สาวลึกขึ้นไปเอง
เมื่อเกิดความสนใจมากขึ้น ๆ เราก็จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้ มีเหตุมีผลเสมอคำว่า ' เหตุผล' คำเดียวเนี่ยนะ เป็นแก่นเลยนะของพุทธศาสนาทุกอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นลอย ๆทำไมคนถึงหน้าตาแตกต่างกันทำไมแต่ละชาติ แต่ละเผ่าพันธุ์ถึงมีนิสัยพื้นฐานไม่เหมือนกันทำไมคนนึงจิตใจโหดเหี้ยมมาตั้งแต่เด็ก ๆทำไมคนนึงใจดีมาตั้งแต่เด็ก ๆสิ่งเหล่านี้มีเหตุผลที่จะอธิบายได้แต่ถ้าไปจับเอาวิทยาศาสตร์อย่างเดียว มันจะไม่สามารถอธิบายได้ครอบคลุมบางทีมันก็ต้องมีคำอธิบายที่ดูลึกลับในตอนแรกแต่เมื่อศึกษาไปแล้ว มันก็จะค่อย ๆ ยอมรับขึ้นมาได้เองในภายหลัง
พี่ฉอด: ค่ะ และนั่นก็คือสิ่งที่เราจะคุยกันในค่ำคืนนี้นะคะกับแขกรับเชิญคนพิเศษของเรา เดี๋ยวซักครู่นึง พักแป๊บนึงเดี๋ยวกลับมาในช่วงหน้า 'คืนพิเศษ คนพิเศษ' ค่ะ