เมล็ดพันธุ์แห่งการตื่นรู้
(a seed of awakening)

บทความจาก ‘เนชั่น สุดสัปดาห์'
ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๖๘๕
วันที่ ๑๘ - ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘
โดย 'ดังตฤณ'

เพราะตื่นรู้จึงรู้คุณ

ผมนิยามตัวเองว่าเป็นคนไม่ตกยุค แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นคนทันสมัย ใช้ชีวิตง่ายๆตามความรู้สึกว่าสบายสำหรับตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตามห้างมีอะไรให้ซื้อก็ซื้อ แต่ไม่ใช่ซื้อเพราะกำลังอินเทรนด์หรือใครๆเขาว่าต้องมีถึงจะได้ชื่อว่าเดิร์น

ผมเคยเป็นเด็กที่มีความเห็นแก่ตัวสูง ซึ่งมองในแง่ดีก็พอมีเหมือนกัน กล่าวคือ พออยากเอาประโยชน์ อยากเอาประกัน อยากเอาความอุ่นใจไว้ให้ตัวเอง ก็จะมองหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นประกัน และเป็นความน่าอุ่นใจสูงสุด โดยไม่คำนึงว่าใครจะพูดถึงสิ่งนั้นว่าอย่างไร หรือชักชวนให้เข้าหาสิ่งอื่นดิบดีเพียงไหน

ผมเป็นคนเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น แม้ผิวนอกจะดูซื่อๆเหมือนถูกหลอกง่าย แต่จู่ๆมาบอกว่าชาติปัจจุบันถูกใครปั้นมาอย่างนี้ หรือเพราะชาติก่อนผมเป็นอย่างนั้น แล้วชาติหน้าจะเป็นอย่างโน้น ผมไม่มีทางด่วนยอมรับอย่างเด็ดขาด

ผมสนใจความจริง อยากรู้ความจริงเกี่ยวกับที่มาที่ไปของตัวเอง เพราะฉะนั้นใครบอกว่ามีวิธีอะไร มีอุบายลัดสั้นแบบไหน ผมจะดั้นด้นไปลองเรียนรู้โดยไม่รังเกียจ เรียนแล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อค่อยว่ากันตามเหตุตามผล

มาเริ่มรู้สึกว่าเป็นไปได้ที่จะสามารถแจ่มแจ้งแทงตลอดเกี่ยวกับตัวเองจริงๆ ก็เมื่อพบคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ประมวลแล้วสรุปได้ประการหนึ่งคือ ถ้ารู้เรื่องของตัวเองในวินาทีนี้เป็นอย่างดี ก็จะสามารถสืบสาวไปหาอดีตหนหลังได้มากเท่ามาก กับทั้งอาจพยากรณ์ตนเองถูกด้วยว่าอนาคตจะได้ดีหรือตกยากปานใด

ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มจากความสนใจใคร่รู้ มาจนถึงวันนี้ที่พอจะได้คำตอบบางส่วนแล้ว ไม่มีแม้แต่วันเดียวที่ผมนิยามตนเองว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมภาวนา นั่นอาจเพราะผมไม่เคยตั้งข้อสังเกตว่านักปฏิบัติธรรมภาวนาต้องทำหรือไม่ทำอะไรบ้าง ผมยังคงใช้ชีวิตสบายๆตามที่รู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองมาตลอด แต่ในขณะเดียวกันก็มองเห็นถนัดขึ้นเรื่อยๆ ว่ายิ่งเชื่อเหตุผลของพระพุทธเจ้าเร็วขึ้นเท่าไหร่ ก็จะได้คำตอบที่ต้องการเป็นสุขตามปรารถนาเร็วขึ้นเท่านั้น

บางครั้งผมพบว่าตัวเองเสียเวลาเปล่าในการค้นคว้าหาข้อมูลอันเป็นที่เข้าใจว่าล้ำยุคล้ำสมัย เพียงเพื่อมาพบว่าพระพุทธเจ้าตรัสตอบไว้หมดแล้ว หรือบางครั้งผมปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในความทุกข์ทรมานกับการปฏิบัติตนผิดๆ เพียงเพื่อมาพบว่าพระพุทธเจ้าท่านแจกแจงแนวทางดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควรไว้ถี่ถ้วนแล้ว

ปัจจุบันผมพบว่าตัวเอง ‘ปฏิบัติตน' ตามที่พระพุทธเจ้าสอนในมหาสติปัฏฐานสูตรได้ทุกหนทุกแห่ง ขอเพียงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าจะใช้อะไรเป็นที่ตั้งของสติ ทางทุกเส้นในโลกก็เป็นทางจงกรมได้ เบาะนุ่มๆหรือราวไม้แข็งๆก็อาจแปรเป็นที่นั่งสมาธิได้เหมือนกันไปหมด

งานประจำของผมคือเขียนหนังสือ เรียกว่าวันๆนั่งอยู่หน้าจอรัวแป้นพิมพ์ คนก็มองว่า ‘เอาแต่เขียน' ทั้งวัน แต่ถ้าใครมานั่งในหัวใจผม เขาจะเห็นความจริงอันเป็นมุมมองจากภายใน ว่าผม ‘พักดูตัวเอง' ได้เกือบตลอดเวลาเช่นกัน

งานเขียนของผมเกิดจากเจตนาให้ใครๆมีกุศลจิตทั้งในขณะอ่านและหลังอ่าน ผลตอบแทนทางธรรมชาติคือใจที่สุขสงบ หรือกระทั่งรู้สึกสว่างโล่งเหมือนเข้าสมาธิเป็นระยะๆ แม้ไม่ใช่สมาธิแบบเนียนประณีตต่อเนื่องยืดยาว แต่ก็นิ่งเบาพอจะบันดาลสติให้ชื่นชมสภาพภายในตน เห็นอยู่เรื่อยๆถึงลักษณะสว่างเบิกบานของจิต เห็นลักษณะแน่นิ่งไม่กวัดแกว่งของกาย และเห็นลักษณะไม่ไขว่คว้าจะเอาอะไรนอกตัวของหัวใจ

ถัดจากอาการชื่นชมสภาวะทางจิตดังกล่าว ก็มักเกิดสติเห็นสภาพอันน่าชื่นชมนั้นไม่เที่ยง เหมือนดวงไฟสีสวยที่ผุดขึ้นให้ยลครู่หนึ่ง ยลแล้วต้องยอมรับตามจริงว่ามันเป็นธรรมชาติที่ต้องเลือนหายไป คือแปรจากสดชื่นเป็นหดหู่ซึมเซาลงได้เมื่อเหนื่อยเพลีย แปรจากสว่างเป็นหม่นมืดลงได้เมื่อโลภในรสอาหารขณะหิว แปรจากเรียบสงบเป็นยุ่งเหยิงได้เมื่อต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้คนสารพัดทิศ (อย่าออกเสียงเป็น ‘พิษ' นะครับ!)

ผมดูมาหลายปีจนชินกับการถือว่าสุขทุกข์ทั้งหลายเป็นของจรมาแล้วจรไป ไม่ต้อนรับขับสู้ แต่ก็ไม่ขับไล่ไสส่ง จึงไม่มีทั้งความทะยานอยากยื้อไว้ และไม่มีทั้งความทะยานอยากผลักออก พอเลิกอยากได้คำตอบ เลิกอยากได้สภาวจิตดีๆ และเลิกอยากตะเพิดไล่สภาวจิตเสียๆ ผลก็คือมีจิตที่โล่งเบาอยู่เนืองๆ พอมีเวลาว่างจากภาระทั้งหลาย เกิดความเต็มใจยินดีที่จะลงนั่งสมาธิ ก็สงบง่าย เรียบง่าย และยิ้มง่าย

สมัยก่อนถ้าสงบง่ายๆอย่างเดี๋ยวนี้ ผมจะกระตือรือร้นเอาจิตไปเล่นสนุก แม้ไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นนักกีฬาทางจิตตัวฉกาจ ก็ไม่ขนาดไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียเลยว่าจิตนิ่งๆทำอะไรแปลกๆได้บ้าง

ทว่าในปัจจุบันที่ความอยากสนุกทางจิตลดลงเข้าใกล้ศูนย์ ผมจะเพลินอยู่กับการหยุดจิตให้สงบสุขเอากำลังสักพักหนึ่ง แล้วค่อยปล่อยตามสบาย ไม่กำหนดรู้ลมหายใจหรืออะไรทั้งนั้น เมื่อจะเกิดปรากฏการณ์อะไรทางจิต ตั้งแต่ระดับหยาบเช่นความคิดและจินตนาการ ไปจนถึงระดับละเอียดเช่นสติรู้สภาพธรรมอันประณีต จิตผมจะไม่เข้าไปเกาะเกี่ยว ไม่ร่วมผสมผสาน และไม่มีเยื่อใยกับปรากฏการณ์เหล่านั้นแม้แต่น้อย เสมือนเห็นเมฆหลากสีลอยผ่านมาแล้วลอยผ่านไปอย่างแผ่วเบาไร้น้ำหนัก

ผมพบว่าอาการไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใดๆนั้น เป็นประสบการณ์ที่น่าพึงใจสูงสุด เพราะจิตที่เป็นอิสระจะไม่หาเหาใส่หัว และไม่กลัวความล้มเหลว แม้ความอิ่มหนำสำราญจากสมาธิอันลึกซึ้งก็ไม่ชวนให้เกิดความพิศวงหลงใหลแต่อย่างใด

ผมเคยเป็นคนชอบเปรียบเทียบตัวเองกับอดีต ผมเคยศรัทธาในความคืบหน้าของชีวิตมนุษย์ พูดง่ายๆมักมองย้อนหลังว่าอดีตเลวอย่างไร ปัจจุบันดีขึ้นแค่ไหน แม้งานเขียนก็เคยใช้ไม้บรรทัดหลายๆแบบมาวัดความกว้าง ยาว ลึกเพื่อให้เกิดความพอใจว่างานนี้ดีกว่างานก่อนนะ เสร็จเร็วขึ้นกว่าเดิมนะ แรงสะท้อนกลับของกระแสสุขแผ่กว้างขึ้นเรื่อยๆนะ

นั่นคือเมื่อก่อน แต่ถึงวันนี้ผมพอใจสิ่งเดียว คือสติที่ไม่เปรียบเทียบความคืบหน้าคืบหลัง แต่เป็นสติที่เปรียบเทียบเพียงว่านี่ยังเหมือนเดิมหรือต่างไปแล้ว ถ้าต่างไปแล้วก็ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นอะไรๆที่แปรปรวนไปแล้ว สาบสูญไปแล้ว ถ้ายังอยู่ก็แค่ดูไปเรื่อยๆแบบไม่แส่ส่ายรอคอยอะไรต่อ

ทุกวันนี้ผมสวดมนต์ด้วยความซาบซึ้งพระพุทธคุณจริงๆ เหมือนผมอยากสรรเสริญใครสักคนที่มีบุญคุณกับผมอย่างล้นเหลือ เห็นถนัดว่าการรู้คุณอาจเป็นเครื่องหมายของการตื่นรู้ชนิดหนึ่ง เมื่อตื่นรู้จะไม่รู้ลืมพระคุณท่านอย่างแน่นอน

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .