สัมภาษณ์ดังตฤณในรายการกรีนเวฟ FM 106.5

สัมภาษณ์ ‘ดังตฤณ'
ช่วง ‘คืนพิเศษ คนพิเศษ' ครั้งที่ ๗๙
รายการ กรีนเวฟ FM ๑๐๖.๕
วันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘
เวลา ๒๑.๐๐ น. – ๒๔.๐๐ น.

ถอดเทปเป็นตัวหนังสือโดย อลิสา ฉัตรานนท์

ช่วงที่ [1][2][3][4][5][6]

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ช่วงที่ 4

เสียงท่าน ว.วชิรเมธี:
"เจริญพร อาตมาภาพ วุฒิชัย วชิรเมธี
หรือที่รู้จักกันผ่านนามปากกาโดยมากว่า ท่าน ว.วชิรเมธี
เกี่ยวกับกระแสที่คนไทยในปัจจุบันหันมาสนใจธรรมะมากขึ้น
จนอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเทรนด์ของยุคสมัยได้เลยทีเดียว
ในทัศนะของอาตมาภาพคิดว่า คนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เฉพาะคนไทย
แต่อาจจะหมายถึงคนทั้งโลกเลยก็ว่าได้ กำลังเต็มไปด้วยปัญหา
เมื่อความทุกข์ทั้งหลายมากเข้า ๆ ก็สะท้อนออกมาเป็นความต้องการ
แสวงหาทางออก ซึ่งในบรรดาที่มีอยู่นั้น ทางออกอื่น ๆ เนี่ยถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว
ตอนนี้ก็เหลือทางด้านจิตใจ คือเรื่องศาสนา

จากการที่ในยุคโลกาภิวัฒน์ คนส่วนใหญ่มีความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ทางวัตถุมากขึ้น
มีบ้าน มีที่ดิน มีรถ มีทุกสิ่งทุกอย่างพรั่งพร้อม แต่จะสังเกตเห็นว่าการมีวัตถุมากขึ้น
ไม่ได้ทำให้ความทุกข์ลดน้อยลง ค้นพบว่า ความพรั่งพร้อมทางวัตถุ
ไม่ได้ทำให้จิตใจได้รับการเติมเต็ม มนุษย์ก็จึงกลับมาสนใจโลกของจิตใจ
ซึ่งก็คือโลกของพระพุทธศาสนานั่นเอง

ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเคยบอกว่า เมื่อสังคมมีปัญหา นั่นคือโอกาสที่ธรรมะจะได้แสดงตัว
ทุกวันนี้สังคมเรามีปัญหามากมาย เราให้ธรรมะเข้ามาแก้ไข ขอเจริญพร"

เสียงคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย:
"สวัสดีครับ ผม ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ครับ จากสำนักพิมพ์ดีเอ็มจีนะครับ
ก็มีโอกาสได้ร่วมงานพิมพ์หนังสือดี ๆ กับคุณดังตฤณนะครับ
ผลงานที่ได้รับความนิยมสูงมากก็คือ เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน
ซึ่งในส่วนสำนักพิมพ์เอง เราก็คาดไม่ถึงครับ
กับกระแสการตอบรับหนังสือธรรมะดี ๆ จากผู้อ่านทั่วประเทศไทย
แล้วผมเองก็ค่อนข้างโชคดีที่ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศค่อนข้างบ่อย
ได้เห็นถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงนะครับ
เราอาจจะบอกว่า โลกกำลังหมุนกลับก็เป็นไปได้นะครับ
คนเริ่มสนใจเรื่องของศาสนามากขึ้น
เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงนี้ก็คือ เป็นคำสอนที่สำคัญข้อนึงของพระพุทธศาสนา
สาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจธรรมะกันมากขึ้น ก็เพราะว่า
ตอนนี้รูปแบบการนำเสนอเรื่องราวของธรรมะ
ในปัจจุบัน เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า วิธีการนำเสนอเรื่องราวธรรมะต่าง ๆ เนี่ย
ผ่านกระบวนการ ผ่านวิธีการ หรือว่าผ่านอุบายวิธีที่เรียบง่าย เข้าใจได้ง่าย
แล้วก็ค่อนข้างที่จะโดนใจกลุ่มวัยรุ่นด้วย

ทุกศาสนาเนี่ยดีทั้งนั้นเลยนะครับ
แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่น จุดแตกต่างของศาสนาพุทธนี้ก็คือ 'ท้าให้พิสูจน์' นะครับ
เป็นศาสนาเดียวที่องค์พระศาสดาบอกว่า ท่านจงลองมาดูเถิด
ลองมาพิสูจน์เอาเองนะครับว่า สิ่งที่ท่านได้สอนเอาไว้ เป็นไปอย่างนั้นจริงรึเปล่า
เพราะฉะนั้น อยากให้หลาย ๆ คนลองมาพิสูจน์นะครับ ลองมาลิ้มรสแห่งพระธรรมว่า
เมื่อเราได้สัมผัสแล้ว เราจะรู้ถึงความประณีตที่อธิบายไม่ได้ ขอบคุณมากครับ"
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

พี่ฉอด: ค่ะ ก็ต้องขอบคุณคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย และท่าน ว.วชิรเมธี ด้วย
สำหรับคุณตุลย์ล่ะคะ คิดว่ากระแสธรรมะในสังคมปัจจุบันเราเป็นยังไงบ้าง

ดังตฤณ: อันนี้พูดโดยรวมนะครับ
คือยังไม่ได้พูดถึงสังคมที่เข้าใจธรรมะแล้ว หรือว่ารับรู้ธรรมะแล้วนะครับ
ผมอยากจะบอกว่าแย่นะฮะ คือ... คนไม่มีธรรมะในจิตใจกัน
แนวโน้มพฤติกรรมแย่ ๆ เนี่ย นับวันแรงขึ้น กว้างขึ้น แล้วก็ถี่ขึ้น
คนมักง่ายกันมากขึ้น ทำอะไรเพื่อตัวเองกันมากขึ้น
แล้วก็ด่วนตัดสินใจอะไรปุปปับกันเร็วขึ้น
อย่างเรื่องฆ่าตัวตายเนี่ย มันมีทุกระดับชั้น ไม่ใช่เฉพาะคนที่มีการศึกษาต่ำ
แต่ตรงกันข้าม คนการศึกษาน้อยเนี่ย บางทีเขาจะคิดดิ้นรนด้วยซ้ำ
แต่ว่าในขณะที่คนมีพร้อมทุกอย่างแล้ว บางทีปุบปับอยากไป ไปเลย
อันนี้ก็อธิบายได้ว่า คลื่นอกุศลเนี่ยเข้าครอบงำสังคมส่วนใหญ่
จนนึกว่าบาปมันเป็นของธรรมดา ใคร ๆ เขาก็ทำกัน
แล้วก็พากันทำแบบไม่ต้องยับยั้งชั่งใจ
แล้วก็เรียกว่า ถ้าเรามองว่า ตรงนั้นสังคมป่วย
แล้วต้องการธรรมะเป็นยารักษา ก็คงจะบอกได้ว่า
ทุกสมัย ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ก็ต้องการยาขนานเดียวกันหมด
คือความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป
ซึ่งเมื่อเบรคที่แล้วเราก็พูดกันไปแล้ว นะครับ

คือไม่ใช่เชื่อว่าเป็นบุญเป็นบาปเพียงเพราะใคร ๆ เขาบอกกันว่าอย่างนั้น
แต่เข้าใจเข้ามาที่จิตใจของเราจริง ๆ ว่า
บุญมันทำให้สว่าง มันทำให้อบอุ่น มันทำให้มีความสุข เดี๋ยวนี้เลย
บาปทำให้เดือดร้อน ทำให้มืด ทำให้รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง เดี๋ยวนี้เลย
แล้วมันก็มีผลสืบเนื่องเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อไปด้วย

ตรงนี้ ถ้าหากว่าเราพากันศึกษาวิชารู้ตามจริงของพระพุทธเจ้ากันมาก ๆ นะครับ
จะทราบเองเลยว่า เจตนากระทำการขณะที่จิตเจือด้วยกิเลสเนี่ย
ล้วนเป็นบาป แล้วก็ทำให้จิตมันมืดมน หรือหมองมัวลง
แต่เจตนากระทำการใด ๆ ก็แล้วแต่ ในขณะที่จิตปราศจากกิเลสเนี่ย
อันนั้นล้วนเป็นบุญ มันทำให้จิตสว่างใส หรือเบิกบาน

หลักการง่าย ๆ แค่เนี้ยนะครับ เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนทุกยุคทุกสมัย
ละบาปด้วยความเข้าใจ แล้วก็สั่งสมบุญด้วยปัญญา
อย่าไปคิดว่ามียุคนั้นยุคนี้หรือว่า...
อย่างเราพูดกันเนี่ย คือผมก็เห็นด้วยนะ
ที่ว่าบางทีมันมีความเปลี่ยนแปลงในมวลรวมน่ะนะครับ
ว่ามีการหักเห มีการหันมาสนใจด้านสว่างกันมากขึ้น
แต่ทีนี้ ถ้าพูดถึงความเข้าใจเนี่ย บางทีเราต้องดูด้วยว่ากระแสมันไปทางไหน
อย่างเมื่อกี้คุณดนัยพูดเนี่ย ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยนะ เห็นด้วยนะครับ
แต่ว่าในภาพรวมที่ปรากฎเป็นข่าวให้รับรู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเนี่ย
กระแสอธรรมยังแรงอยู่

พี่ฉอด: มันอาจจะเป็นอันนึงด้วย เพราะว่าภาพรวมอย่างที่ว่า
หรือกระแสอธรรมอย่างที่ว่าเนี่ย
มันถูกถ่ายทอดออกมาให้เราได้รู้ได้เห็นกัน... เยอะ

ดังตฤณ: ง่ายครับ ง่ายกว่า

พี่ฉอด: เพราะว่าอย่างถ้าที่เจอกับตัวเองนะคะ ช่วงหลัง ๆ
บางทีสมมติวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันหยุดอะไรอย่างเงี้ยะ ก็มีโอกาสได้ผ่านไปแถววัด
ก็จะรู้สึกแปลกใจอันนึงว่า คนเดี๋ยวนี้เข้าวัดกันเยอะมาก วันเสาร์อาทิตย์นี่แบบ..
คนเต็มวัดเลยนะคะ เคยไปทีนึงแล้วตกใจ แล้วเป็นคนหนุ่มคนสาว
แล้วยังมาทักทายสวัสดีพี่ฉอด เออ ได้พูดคุยกันอะไรอย่างเงี้ยะ
ก็เลยรู้สึกว่า เออ จริง ๆ แล้ว สิ่งนี้ก็มีอยู่
เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ได้ลงหนังสือพิมพ์ เหมือนอย่างเวลาที่เราทำอะไรไม่ดี

ดังตฤณ: ใช่.. ใช่... คือถ้าหากเรามอง
เนี่ย อย่างพี่ฉอดมองด้วย... มีมาตรวัดอะไรบางอย่าง เปรียบเทียบบางอย่างเนี่ย
เราจะรู้สึกว่าอะไรดี ๆ มันเป็นนิมิตหมายที่เข้าหูเข้าตา แล้วเกิดกำลังใจ
หรือว่าเกิดแรงบันดาลใจที่จะทำอะไรดี ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
อย่างรายการของพี่ฉอดเนี่ย พูดถึง มันก็แสดง สะท้อนถึงคนกลุ่มหนึ่งที่มีเจตนาดี
จะทำให้สังคมมันน่าอยู่ ไม่ใช่ว่า เออ กระแสสังคมเขาเรียกร้องจะเอาอะไรที่มันมันท่าเดียว
หรือว่าจะเอาอะไรที่มันเร้าใจท่าเดียวเนี่ย
เราก็ไปทำตาม ไปสนองความต้องการของเขา ไม่ใช่
คือบางที เรานำเสนออะไรที่ช่วงแรก ๆ อาจจะยังค้านกับกระแสอยู่
แต่พอทำ ๆ ไปแล้วเนี่ย มันได้เห็นว่า
ก็มีคนที่เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เข้ามาจอยน์มากขึ้น

แล้วตรงนั้นเนี่ย มันเป็นทำนองเดียวกัน
ถ้าหากว่าสื่ออื่น ๆ ช่วยกันคนละไม้คนละมือเนี่ย เอาเรื่องดี ๆ มานำเสมอ
อย่าไปคิดว่าคนเค้าไม่ซื้อ อย่าไปคิดว่าคนเขาไม่ต้องการ เขาต้องการ
แต่ว่ายังไม่มีใครนำเสนอแบบในลักษณะที่เป็นแบบมวลรวม
พูดง่าย ๆ ... กระจัดกระจาย
อย่างกลุ่มของพี่ฉอดก็ทำอยู่ กลุ่มโน้นก็ทำ
แต่มันแบบ เหมือนกับว่าคนส่วนใหญ่เขาไม่รู้ว่ามีตรงนี้น่ะ
เขารู้จากหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามันมีสถานบันเทิง มันมีรูปโป๊
มันมีการฆ่าฟันกัน มันมีอะไรต่อมิอะไร นั่นเป็นสิ่งที่เข้าหูเข้าตาทุกวัน

แต่ทีนี้ ถ้าช่วย ๆ กันเนี่ย คือ ไม่ใช่ว่าจะไปลดข่าวอาชญากรรม
หรือว่าลดข่าวอะไรที่มันสะใจสังคมเขาไปทั้งหมดนะครับ
แต่ค่อย ๆ สอด ค่อย ๆ แทรก ค่อย ๆ แซงมันขึ้นมาเนี่ย
ถ้าทำพร้อม ๆ กันนะ อะไรมันจะเกิดขึ้น
มันก็คือ มีกระแสที่เปลี่ยนไป

เพราะทุกวันนี้เนี่ย กระแสของโลกตกอยู่ในมือของสื่อ
แล้วสื่ออะไรที่ทรงอิทธิพลที่สุด ก็คือโทรทัศน์ วิทยุ แล้วก็หนังสือพิมพ์
ถ้าหากว่าร่วมมือร่วมใจกันได้... แบบของพี่ฉอดเนี่ยนะ
อื้ม ตรงนั้นน่ะครับ โลกก็จะกลายเป็นสวรรค์ แต่ทีนี้ มันเป็นสวรรค์ที่มาช้า
บางคนก็เลยไม่อยากจะลงทุทน อยากจะเอานรกที่ทันใจมากกว่า
นี่ที่ใช้คำว่านรก ไม่ได้หมายความว่าชั่วช้านะครับ
แต่หมายความว่า... คือมันเป็นอีกด้านนึงที่อยู่ตรงข้ามกับสวรรค์น่ะนะครับ

พี่ฉอด: ทีนี้ ถ้าเรามองภาพกันว่า
อย่างการที่คุณตุลย์เขียนหนังสือเสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน
แล้วก็มีคนได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วก็ได้รับรู้รับทราบอะไรต่าง ๆ
มันก็เป็นอีกส่วนหนึ่งน่ะค่ะ ที่จะช่วยทำให้สังคมมันมีโอกาส
ในการที่จะเปลี่ยนแปลงกลับไปอย่างที่เมื่อซักครู่พูดกันรึเปล่าคะ

ดังตฤณ: ครับ เอาว่ากันเรื่องจริงไม่มีอิงนิยายเลยนะครับ
ที่ผมเห็นมากับตาเนี่ยนะครับ หลายคนที่หันมาศรัทธากรรมวิบากเนี่ย
ก็จะรูปร่างหน้าตาดีขึ้น ผิวพรรณผ่องใสขึ้น การงานดีขึ้น

ตรงนั้น มีผลยังไง
คือเป็นแรงจูงใจให้คนรอบตัวเนี่ย ได้ดีขึ้นได้ด้วย
เพราะว่า ถ้าหากว่ามันไม่มีตัวอย่าง ไม่มีแรงบันดาลใจ
สังคมโดยทั่วไปก็จะรู้สึกว่าความดีไม่มีแล้ว

แต่ถ้าขอแค่คนคนเดียวนะครับ
ไม่ว่าจะอ่านหนังสือผม หรืออ่านหนังสือใครคนใดก็แล้วแต่
แล้วเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไร
แล้วเข้าใจว่าทำอย่างไรถึงจะได้เป็นประโยชน์สูงสุด
ที่สามารถทำ พึงมีพึงได้ในปัจจุบัน แล้วมันได้ดีขึ้นมา
จะออกแบบว่า... ที่เห็นง่าย ๆ อย่างเช่น
รูปร่างหน้าตา หรือว่าอารมณ์ผ่องใส หรืออะไรก็แล้วแต่
ขอให้เป็นแรงบันดาลใจ คนรอบตัวก็จะดีตาม พร้อมจะดีตาม
เพราะว่าคนทั่วไปอยากจะได้ดีกันอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีตัวอย่าง ไม่มีแรงบันดาลใจ

ผมก็อยากจะพูดว่า โดยรวมเนี่ยนะครับ
ถ้าหากได้คนซักหนึ่งคน ที่อ่านหนังสือแล้วเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า
มีประโยชน์เข้ากับตัวเอง คือทำให้อะไร ๆ ในชีวิตดีขึ้น ก็จะชักจูงคนได้เป็นสิบเลย
จากภาพอย่างเดียวนะครับ ที่เขาดูดีขึ้น หน้าตาผ่องใสขึ้น การงานดีขึ้น อารมณ์ดีขึ้น นะครับ

พี่ฉอด: แล้วเห็นบอกว่าตอนนี้เนี่ย มีการตั้งสังคมธรรมะกันขึ้นในเว็บไซต์
แล้วหนังสือทุกเล่มของคุณตุลย์ ก็จะมีการเผยแพร่ให้อ่านในอินเตอร์เน็ทโดยไม่ต้องซื้อด้วย

ดังตฤณ: ใช่ครับ ก็เข้าไปได้เลยนะครับที่ dungtrin.com นะครับ

พี่ฉอด: นอกจากเสียดาย...คนตายไม่ได้อ่านแล้ว
คุณตุลย์ยังมีหนังสืออีกหลาย ๆ เล่ม
ที่เขียนเรื่องราวของธรรมะไว้ในรูปแบบต่าง ๆ กัน
อย่างบางเล่มเนี่ยอ่านแล้วเป็นนิยายเลย

ดังตฤณ: ใช่ครับ

พี่ฉอด: แต่ในขณะดียวกัน ก็จะนำเอาหลักการอะไรต่าง ๆ เนี่ย
มาแทรกเอาไว้ มาสอนไว้เป็นนิยาย

ดังตฤณ: ใช่ครับ คือจริง ๆ แล้ว ผมมีจุดประสงค์จุดเดียว คือ
อยากให้คนยุคเดียวกันได้หันกลับมาฟังว่าพระพุทธเจ้าพูดอะไร
เพราะฉะนั้น ผมจะไม่จำกัดรูปแบบ
อะไรก็ได้ ขอให้คนได้เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้บ้าง
ก็จะมีเรื่องของนิยาย แล้วก็มีเรื่องของวิชาการผสม ๆ กันครับ

พี่ฉอด: อย่างพวก กรรมพยากรณ์ อย่างอะไรอย่างนี้ นี่คือเป็นทางนิยายเลย

ดังตฤณ: ใช่ครับ คือกรรมพยากรณ์เนี่ย เป็นนวนิยายแท้ ๆ เลย
แล้วก็จัดว่าเป็นขนมที่กินง่ายที่สุด
คือเป็นนิยายที่แต่งขึ้นเอาสนุกล่อใจน่ะนะครับ
เอาความสนุกล่อใจ อ่านไปหัวเราะไป
ช่วงบทแรก ๆ เนี่ยก็จะไม่มีใครรู้สึกน่ะว่าเป็นหนังสือธรรมมะ
หรือว่าน่าจะลิงก์กับธรรมะได้ คืออาจจะหัวเราะไป ร้องไห้น้ำตาซึมได้เหมือนนิยายปกติ
กรรมพยากรณ์นี่ก็จะมีหลายภาค และก็เป็นเอกเทศจากกันนะครับ
ตอนนี้ออกมา ๒ ภาค ภาค ๑ ชื่อว่า 'ชนะกรรม'
อันนี้ก็ตั้งใจจะสื่อว่า วิบากเก่ามีมาอย่างไรก็ช่างนะครับ
หาทางเอาชนะกันด้วยกรรมใหม่ก็แล้วกัน
ส่วนภาค ๒ นี่ชื่อ 'เลือกเกิดใหม่' อันนี้ก็ตั้งใจจะสื่อว่า
ทุกคนกำลังจะเลือกเกิดใหม่ด้วยกรรมที่กำลังทำ ๆ กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี่แหละ
จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม คือทั้งหมดเนี่ยมันจะเป็นทิศทางที่จะพาเราไปเกิดใหม่

พี่ฉอด: นี่หมายความว่า เรากำลังพูดกันอยู่ว่า
ไม่ว่าเราจะเคยทำวิบากกรรมมาอย่างไรแต่ชาติปางไหนก็ตามเนี่ย
เราสามารถจะแก้ไขทุกอย่างได้ในวันนี้ เวลานี้ของเรา
สามารถที่จะสร้างสิ่งที่ดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้

ดังตฤณ: อันนี้ ถ้าสมมติว่าเราพูดถึง
ภูมิมนุษย์อย่างเดียว ภพมนุษย์อย่างเดียว จะไม่เห็นภาพชัด
แต่ถ้าผมพูดก่อน ...อันนี้พูดสั้น ๆ ว่า อย่างถ้าเป็นเทวดาเนี่ย
เขามีหน้าที่เสวยบุญ คือสนุกร่าเริงกันอย่างเดียว
หรือสัตว์นรกเนี่ย เขามีหน้าที่เสวยบาป มันไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น
มันไม่มีขั้นตอนของการเรียนรู้ มันไม่มีขั้นตอนของการว่า ใครจะมามีบุญคุณแล้วก็จะมาตอบแทน
เพราะว่าเขาผุดขึ้นมาแบบนั้นเลย เพื่อเสวยวิบากเดิม
อย่างเทวดาเนี่ย ผุดขึ้นมาเต็มตัวเลยนะ มีความรู้ขึ้นมาทันทีเลย
มันก็มีมานะขึ้นมาว่าเราไม่ต้องเรียน เราไม่ต้องตอบแทนใคร
จำได้ด้วยว่าที่มาเป็นเทวดาแบบนี้ เพราะทำบุญอะไรมา
แต่ว่าเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย เกิดขึ้นมาพร้อมกับความไม่รู้อะไรเลย
ขึ้นมาก็ร้องอุแว้ ๆ จะเรียกร้องเอาอะไรบางอย่างจากใครบางคน

ซึ่งก็จะรู้ด้วยสัญชาตญาณว่านี่คือพ่อ นี่คือแม่ คนนี้เขาเลี้ยงดูเรา
แต่โดยความไม่รู้ ก็ขอให้นั่นเป็นหน้าที่ของพ่อของแม่เนี่ย
ก็.. ทำให้เราเกิดมา ก็ต้องเลี้ยงดูเรา
อันนี้เป็นเหมือนกับสิ่งที่ต้องมาเรียนรู้ภายหลัง
ว่านั่นน่ะคือบุญคุณนะ แล้วก็ต้องตอบแทน
แล้วโตขึ้นมา เด็กแต่ละคนก็จะต้องเข้าโรงเรียนอนุบาล
ต้องถูกครูสอน ต้องได้รับความเห็นอะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ มา
แล้วมันก็มามีความเห็นของตัวเอง แล้วก็ต้องประสบชะตากรรมอะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ
ได้เสวยทุกข์ ได้เสวยสุข มันสลับกัน มันอยู่ครึ่งระหว่างนรกกับสรรค์

พูดง่าย ๆ ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์เนี่ยนะ มันทั้งได้เสวยกรรมเก่าด้วย
ได้เกิดมาเพื่อเรียนรู้ด้วย เพื่อที่จะตอบแทนใคร ๆ ด้วย
และก็เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นทางของตัวเอง 'เลือก' ทางของตัวเองได้ด้วย

อย่างเทวดาเนี่ย ไม่มีทางเลือกทางของตัวเองได้
เพราะว่าเกิดมา ตั้งแต่เกิดจนตายก็มีสภาพคงที่อยู่แบบนั้น
หรือสัตว์นรก ได้รับกรรมอะไรมันก็มีแต่จะต้องเสวยวิบากแบบนั้นไปเรื่อย ๆ
มันไม่มีช่วงพัก มันไม่มีช่วงมา เออ ตัดสินใจเลือกใหม่นะ ไอ้เส้นทางแบบเดิมมันไม่ดีพอ
แต่มนุษย์เนี่ย เกิดมามันสามารถที่จะมีสิทธิ์เลือกได้นะครับ
และเป็นการเลือกทาง ไม่ใช่เฉพาะทางชีวิตปัจจุบัน
แต่หมายความว่า 'เลือก'
ที่จะเปลี่ยนนิสัยใจคอเดิม ๆ ของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิงหรือไม่

ถ้าหากว่าคุณมีนิสัยหรืออะไรอย่างหนึ่งที่ติดตัวมานะครับ
รู้ตัวว่า เออ เป็นคนชอบพูดโผงผาง แล้ววันนึงเกิดมีความรู้สึกว่า
เออ การพูดโผงผางนี่บางทีมันทำร้ายจิตใจคน ก็พูดให้นุ่มนวลลง
อันนั้น อาจจะไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงแค่ชีวิตนี้ชีวิตเดียวนะครับ
มันอาจจะหมายถึงการหักมุมเลย ไอ้ที่ทำมาหลาย ๆ ชาติเนี่ย
จากการเป็นคนพูดโผงผาง ขวานผ่าซาก ไม่ไว้หน้าใครเนี่ย
ได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ที่พูดจานุ่มนวลขึ้น แล้วก็มีการให้เกียรติคนมากขึ้น
ซึ่งเส้นทางต่อ ๆ ไป ในชาติต่อ ๆ ไป มันก็จะหักไปเลย มันจะฉีกไปอีกองศานึงเลย
นั่นล่ะครับ ตรงนี้เนี่ย ถ้าหากว่าเราได้มีโอกาสที่จะรู้ว่าภพอื่นภูมิอื่นเนี่ย... มี
แต่ไม่มีโอกาสเท่ากับภพนี้ภูมินี้ของมนุษย์ มันก็จะเกิดความเห็นค่ามากขึ้น
ว่าเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเนี่ย มีสิทธิ์ที่จะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง

พี่ฉอด: แต่ว่าการที่จะแก้หรือเปลี่ยนแปลงอะไรเนี่ย
มันก็ต้องทำ ณ ตอนนี้ เวลานี้ หรือในภพนี้

ดังตฤณ: ใช่ครับ

พี่ฉอด: เพราะที่ผ่านมาแล้ว มันก็คือผ่านไปแล้ว
ที่ข้างหน้า บางทีจำไม่ได้ก็ไม่ได้ทำอยู่ดี (หัวเราะ) ใช่มั้ยคะ

ดังตฤณ: ใช่ครับ

พี่ฉอด: เพราะฉะนั้น นี่คือสาเหตุที่ทำให้นางเอกของกรรมพยากรณ์
สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองได้จากคำพยากรณ์
ที่บอกว่าต้องเป็นอย่างงี้อย่างงั้น ต้องเจออย่างงั้นอย่างงี้เนี่ย

ดังตฤณ: คือพยายามเอาชนะคำพยากรณ์

พี่ฉอด: เอาชนะคำพยากรณ์ ซึ่งคุณตุลย์เชื่อว่า ในชีวิตจริงมันเป็นอย่างนั้นได้จริง ๆ

ดังตฤณ: คือ... ผมพูดอย่างนี้ดีกว่าว่า ผมเห็นมาเยอะ ไม่ใช่ว่ามานั่งสมมติเอา
แต่ว่าตระหนักว่าการต่อสู้กับอะไรที่มันมองไม่เห็นเนี่ยนะครับ
บางคนเกิดมามีแต่เหตุการณ์อะไรที่วุ่นวายซ้ำ ๆ รูปแบบเดิมด้วย และก็หนีไปไหนไม่พ้น
แต่ทีนี้พอมาศรัทธา มาเรียนรู้เรื่องวิบากกรรม มาเรียนรู้เรื่องกฎแห่งกรรม
พอเข้าใจว่า เออเนี่ย ที่ถูกคนโกงมาก ๆ เพราะเคยไปโกงเขาไว้
หรือว่าที่ถูกหักอกมาก ๆ เพราะเคยไปหักอกเขาไว้
อันนี้เป็นภาพคร่าวที่สุด ง่ายที่สุดเนี่ยนะครับ
ก็พยายามที่จะทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับกรรมเดิมของตัวเอง
อย่างเช่นถ้าถูกโกงมาก ก็พยายามที่จะซื่อมากที่สุด คือ
ที่ถูกโกงก็โดนไป อโหสิให้เขาไป ยกโทษให้เขาไป
หรือถูกหักอกมาก ๆ แทนที่จะเก็บความคุมแค้นไว้
อาฆาตว่าฉันจะขอตามจองเวรไปทุกชาติอะไรทำนองนี้
ก็เปลี่ยนใหม่เป็นว่า ตั้งใจว่า เราจะพยายามซื่อกับใคร ๆ เขานะ
เราจะไม่หลอกใครเขานะ แล้วก็ไม่ไปหักอกใครเขา
คิดยังไง เราพูดอย่างนั้น รักก็บอกว่ารัก ไม่รักก็บอกว่าไม่รัก นะครับ
ตรงนั้นเนี่ย มันก็เกิดกระบวนการของการใช้กรรมเก่าไป
พอใช้หมดไปแล้ว มันก็ไม่มีกรรมใหม่ก่อขึ้นมาอีก มันก็กลายเป็นวิถีทางใหม่
คือยกเอาตัวเองจากเส้นทางแบบเดิม มาอยู่บนอีกเส้นทางนึง
ซึ่ง... เหมือนกับทางรูปธรรมเนี่ย เวลาที่เราเปลี่ยนเส้นทางเดิน
เราก็จะเจอสภาพแวดล้อมที่ต่างไป จะเจอผู้คนที่ต่างไป
อันนี้ทำนองเดียวกันครับ
คือถ้าหากว่าเราตัดสินใจว่าจะเลือกทางที่ไม่ลำบาก ทางที่ไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อน
ตรงนั้นเนี่ย ในที่สุดเราจะชนะของเก่า ไม่ว่าจะเคยไม่ดีมายังไง วันนึงมันก็จะหักล้างกันได้

พี่ฉอด: ค่ะ ก็คงเป็นสิ่งที่ฟังแล้วคงทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกมีความหวังในชีวิตมากขึ้นนะคะ
มาถึงตรงนี้เดี๋ยวได้เวลาพักกันอีกแล้ว ฟังข่าวค่ะ ซักครู่กลับมา
ยังมีชั่วโมงสุดท้ายคอยอยู่สำหรับ คืนพิเศษ คนพิเศษ คืนนี้ที่กรีนเวฟค่ะ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

 

ช่วงที่ [1][2][3][4][5][6]