สัมภาษณ์ดังตฤณในรายการกรีนเวฟ FM 106.5
สัมภาษณ์ ดังตฤณ' ช่วง คืนพิเศษ คนพิเศษ' ครั้งที่ ๗๙รายการ กรีนเวฟ FM ๑๐๖.๕ วันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘เวลา ๒๑.๐๐ น. ๒๔.๐๐ น.
ถอดเทปเป็นตัวหนังสือโดย อลิสา ฉัตรานนท์
ช่วงที่ [1][2][3][4][5][6]
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ช่วงที่ 6
พี่ฉอด: มีคำถามนึงเกี่ยวกับเรื่องของการไปหาหมอดูเชื่อว่ามีคนจำนวนเยอะมาก ที่พึ่งพาหมอดูกัน ด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันคุณตุลย์มีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องการไปหาหมอดูยังไงบ้างคะ
ดังตฤณ: ก็จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุดว่าการไปหาหมอดูคือการแสดงถึงการเป็นคนงมงายหรือว่าหมอดูคู่กับหมอเดา อะไรทำนองนี้ทีนี้ ถ้าพิจารณากันตามจริง ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยนะที่ชอบดูหมอเนี่ยทั่วโลก แม้แต่พวกบิลเกทส์ พวกอะไร เขาก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มีเพียงแต่ว่าใครจะเชื่อแค่ไหน หรือเอามาใช้ประโยชน์แค่ไหนเท่านั้น
จริง ๆ แล้วที่จะตัดสินว่าการดูหมอเป็นเรื่องงมงายหรือไม่งมมงายมันขึ้นอยู่กับว่าหมอดู ดูด้วยวิธีไหนด้วยและก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความเข้าใจเรื่องกรรมวิบากเป็นทุนอยู่แค่ไหน
ถ้าดูกันแบบไม่มีเหตุผล โดยไม่มีเรื่องของกรรมวิบากมารองรับบ้างเลยเนี่ยอันนี้เรียกว่างมงายได้ เพราะต่างฝ่ายก็ต่างเชื่ออะไรกันอยู่ก็ไม่รู้รู้แต่ว่ามีกฎ มีตำรา มีครูสืบ ๆ ความเชื่อกันมาว่าต้องลงล็อคนั้น ลงล็อคนี้แล้วก็ทำนายกัน เชื่อกัน
ขอตั้งข้อสังเกตไว้อย่างนึงนะครับ อันนี้ขอพูดฉีกมานิดนึงคือคุณลองไปสืบ ๆ ดูนะ ชีวิตของหมอดูส่วนใหญ่ส่วนใหญ่เขาใช้ชีวิตกันอย่างกระวนกระวายนะและทั้งนี้เนี่ย อธิบายได้ด้วยปัจจุบันกรรมของเขาโดยอาชีพเพราะว่าโดยอาชีพของหมอดู ไปก่อความกระวนกระวายให้ลูกค้าโดยไม่มีเหตุผลอันควรคือเขามาหาเนี่ย ก็ด้วยความกระวนกระวาย อยากรู้อยากเห็นอยู่แล้วขากลับ ก็พกเอาความกระวนกระวายรูปแบบใหม่ออกไปอีกอันนี้ทำอยู่ทุกวัน มันก็เลยได้ผลเร็ว
แต่ถ้าหมอดู สามารถทำให้คนมาดู เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่าทำกรรมแบบไหนจึงมารับผลแบบนี้ทำให้เขาตาสว่าง กลัวบาปกลัวกรรม รักบุญรักกุศล อันนี้ถือว่าได้บุญนะครับแต่พวกที่จะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกรรมวิบากหรือกระทั่งพวกที่มีญาณล่วงรู้กรรมวิบาก มันมีน้อยมีนะครับ แต่มีน้อย ผมเคยเห็นมา หมอดูที่เขารู้เรื่องกรรมวิบากมีญาณทิพย์ มีอะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ แต่มันน้อย
แล้วก็... อันนี้ถ้าจะถามว่าจะพิสูจน์ได้ยังไงก็ขอให้ดูว่า ถ้าใครนะครับ อ้างว่ามีตาทิพย์ เห็นกรรมในอดีตชาติของคุณได้นะให้ลองถามกรรมในวัยเด็กของคุณก่อนว่า 'เคย' ทำอะไร แล้ว 'ได้รับผล' มาแล้วอย่างไรบ้างเขาต้องจับคู่ได้ถูกนะครับ ถ้าเขาตอบถูก ค่อยเชื่อเรื่องอดีตชาติเพราะสำหรับผู้มีญาณจริง ๆ นะครับจะทราบว่าอดีตชาตินั้น ดูยากกว่าอดีตใกล้ในปัจจุบันเพราะว่าสิ่งที่มันเป็นปัจจุบันเนี่ย คือ... มันแทบจะไม่ต้องอาศัยตาทิพย์น่ะมันเหมือนกับเป็นสิ่งที่ตามตัวเขามาอยู่แล้วถ้าคนที่มีความคล่องมีความชำนาญในการรู้ความสัมพันธ์ระหว่างกรรม กับวิบากกรรม กับผลของกรรมเนี่ยดูแวบเดียว เขาก็เห็นแล้วว่าช่วงเด็กทำอะไรมา คือไม่ต้องหลับตาอะไรมากมายแต่ว่าถ้าจะดูอดีตชาติ บางทีมันต้อง... เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่านั่งทางในคือนั่งหลับตา แล้วก็ไปรู้ไปเห็นว่าภาพในอดีต ภาพของกรรมภาพนิมิตของวัตถุที่เคยประกอบกรรม อะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ เป็นยังไงมันถึงได้ส่งผลให้มามีความติดขัด มามีความเดือดร้อนหรือว่ามีรูปแบบเหตุการณ์ซ้ำ ๆ ในชีวิตปัจจุบัน อันนั้นจะดูยากกว่า
พี่ฉอด: ถ้าอย่างนั้น ถ้าเกิดใครที่ได้ไปเจอหมอดูประเภทนี้ถือว่าเป็นโชคดีมั้ยคะ กับการที่เราได้รู้อะไรในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้
ดังตฤณ: ผมว่าหายากนะ แล้วความหายากเนี่ยอะไรที่มันดี ๆ ที่มันหายาก แล้วเราไปเจอเนี่ย ก็ถือว่า...
พี่ฉอด: เพราะว่าเขามีบุญที่จะได้รู้อย่างงี้รึเปล่าคะ
ดังตฤณ: ครับ ก็จะ... จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้แต่ว่า คือผมขอตั้งข้อสังเกตไว้นิดนึงนะแม้แต่ในช่วงต้นรายการเนี่ย เราก็พูดกันว่าบางคนเจอพระพุทธเจ้าเนี่ย แทนที่จะรับอะไรดี ๆ หรือศรัทธาท่านเนี่ยกลับไปเถียงท่านก็มี กลับไปจงเกลียดจงชังก็มีหรือว่าไปต่อต้านหรือว่าทำร้ายท่านก็มี
เพราะฉะนั้น คนที่เจอหมอดูดี ๆ เนี่ยนะเราต้องมองด้วยว่าคนที่ไปดู เขาได้อะไรกลับมาบ้างหรือว่าฟังเรื่องบุญเรื่องกรรมแล้วเขามีความเชื่อหรือเปล่า มีความศรัทธาหรือเปล่าถ้าหากว่าไม่เชื่อเนี่ย ต่อให้หมอดูทายทักอะไรน่าศรัทธาน่าเลื่อมในแค่ไหน มันก็ไม่มีประโยชน์เพราะฉะนั้น จะโชคดีหรือโชคร้าย ขึ้นอยู่กับทุนเก่าของเขาเองด้วยว่าเขาพร้อมที่จะไปเชื่ออะไรที่เป็นเหตุเป็นผลมั้ยแต่ว่าถ้าเบื้องต้นน่ะ อันนั้นโชคดีแน่นอนครับ ที่ได้เจอแต่เจอแล้วได้ผลอะไรกลับมา นั่นเป็นตัววัดด้วยเพราะบางคนไปเจอคนที่ดี แต่ว่าไปคิดร้ายกับเขา อย่างนี้ก็มีหรือว่ายิ่งไปตอกย้ำว่า วิบากกรรมไม่มีหรอก ทำไปแล้วมันสูญเปล่ามากกว่าหมอดูก็แค่นักเดาอะไรทำนองนั้น มันมีสิทธิ์ที่จะคิดกันได้มันมีสิทธิ์ที่จะไปกันได้เรื่อย ๆ น่ะนะครับ
พี่ฉอด: เหมือนคนที่ให้อะไรมาแต่เราไม่รับ ก็ไม่ได้
ดังตฤณ: ใช่ครับ ใช่
พี่ฉอด: มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการทำอะไรที่เป็นเรื่องร้ายแรงแต่ว่าไม่ได้ตั้งใจ เช่น ขับรถชนคนตาย หรือไปทำให้คนเขาเสียใจหรือทำอะไรก็แล้วแต่ลงไป โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ อันนี้ถือว่ามันจะเป็นบาปมั้ยคะ
ดังตฤณ: เอาเรื่องการขับรถชนคนตายก่อนนะครับคือต้องดูว่า ก่อนชนเนี่ย มีความประมาทอยู่รึเปล่าถ้าไม่มี ก็ไม่บาปตอนเริ่มต้น คือไม่ได้ประมาทอยู่
แล้วดูว่า ตอนที่ชนไปแล้ว แล้วเขาตายเนี่ยมันไม่ได้เกิดจากเจตนาที่เราจะไปฆ่าแต่เขาตั้งใจว่าจะขับรถไปตามธรรมดาแล้วมันมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้น มันถึงเกิดการตายกันขึ้นมา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'กรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม'ไอ้ตัวความตั้งใจนี่แหละ ความจงใจนี่แหละ เป็นประธานของการก่อกกรรมถ้าหากว่า ในขณะที่เราขับรถไปแล้วไม่มีเจตนาว่าจะไปไล่ชนใครเขาเนี่ยนะไม่ได้ไปล่าฆ่าใครเขาเนี่ย ตรงนั้น ไม่มีเรื่องของปาณาติบาตเกิดขึ้นในใจคือปาณาติบาตยังไม่ได้ผุดขึ้นมา
ทีนี้ ถ้าหากว่า เราพิจารณาในภายหลังว่าหลังจากที่ชนไปแล้ว แล้วเกิดการตายกันขึ้นมา ท่าทีของเราเป็นยังไงเพราะบางคนเนี่ย พอชนเสร็จ ก็หนีเลย ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้นกลัวจะติดคุก กลัวจะต้องเสียค่าปรับ กลัวจะต้องรับผิดชอบคนถูกชนนอะไรต่าง ๆ เนี่ยนะตรงนั้น มันกลายเป็นกรรมแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่.. คือ ไม่ได้เจตนาฆ่าก็จริงแต่เสมือนว่ามีความเต็มใจให้เขาตาย คือทอดทิ้งเขา ดูดาย ไม่ดูแลตรงนั้น ก็อาจจะเป็นบาปส่วนหนึ่ง บาปของการไม่ดูแล
เพราะฉะนั้น เราต้องดู ว่าก่อนทำ ขณะทำ แล้วก็หลังทำก่อนชน ขณะชน แล้วก็หลังชน มีท่าทียังไง มีเจตนายังไงถ้าก่อนชน ไม่ได้เจตนาฆ่า โอเค ตรงนั้นคุณไม่ใช่นักฆ่าแล้วถ้าหากว่า หลังชนแล้ว มีความรับผิดชอบ ตรงนั้นคุณมีใจเป็นกุศลไม่ใช่มีใจที่คิดดูดาย ไม่ใช่มีใจที่คิดทำบาป โดยการปล่อยให้เขาตาย
พี่ฉอด: เพราะฉะนั้น โดยวิธีคิดแบบนี้ก็ใช้กับการกระทำอื่น ๆ ด้วยใช่มั้ยคะ มันใช้หลักการเดียวกัน
ดังตฤณ: ใช่ครับ ใช่ มันขึ้นอยู่กับว่ามีเจตนาทำให้เป็นแบบนั้นรึเปล่าตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นรึเปล่า ถ้าหากว่ายิ่งตั้งใจหนักแน่นเท่าไหร่มันก็จะยิ่งมีผลเป็นบุญหรือเป็นบาปมากขึ้น เป็นอัตราเดียวกัน
พี่ฉอด: ค่ะ ทีนี้มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องของการทำบุญแทนน่ะค่ะเช่น สมมติว่าเราไปทำบุญโดยที่เราบอกว่าเราให้กับคนนั้นคนนี้เหมือนกับเอาผลบุญเนี่ยให้คนอื่น เป็นไปได้มั้ยคะ
ดังตฤณ: ถ้าหากว่าเขามีใจยินดีด้วย คือเขารับรู้ และก็ยินดีด้วยอย่างนั้น เขาก็ได้ส่วนบุญ แต่ถ้าหากว่าเราทำบุญแทนเฉย ๆแล้วก็นึกอยู่ในใจคนเดียวโดยที่ไม่ให้เขารับรู้ด้วย อันนั้น เขาก็จะไม่ได้อะไรคือจะมีใจของเรานี่แหละได้เต็ม ๆ คือมีใจคิดเป็นทาน มีใจคิดเฉลี่ยบุญ
และถ้าพูดถึงหลักธรรมชาติ ถ้าอันนี้พูดในแง่ของพลังอะไรทำนองนี้คนที่เป็นเป้าหมายอาจจะได้รับบ้าง ในแง่ของความรู้สึกสบายขึ้นมาชั่ววูบเพราะเวลาที่เราคิดดีกับใคร มันจะมีพลังออกไปถ้าหากว่าการคิดดีของเรามันมีความหนักแน่นมาก จิตของเราเป็นสมาธิใหญ่ตรงเจตนาดี เจตนาอุทิศให้คนอื่นเขาสบายเนี่ย มันจะไปถึงเขาจริง ๆแต่เขาจะไม่รู้ ว่าความสบายนั้นได้มายังไง อยู่ ๆ ก็สบายขึ้นมาวูบนึง แล้วก็หายไป
พี่ฉอด: แล้วอย่างเวลาที่เราทำบุญ แล้วก็บอกว่าอุทิศให้พ่อแม่ญาติพี่น้องอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ มันได้ไปถึงจริง ๆ อย่างนั้นรึเปล่า
ดังตฤณ: ตรงนี้เป็นเรื่องละอียดอ่อนนะครับเพราะถ้าหากว่า เรามองกัน อันนี้ยกตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดสมมติว่าพ่อแม่เราไปเกิดเป็นเทวดา บุญที่เราทำถ้าหากว่าน้อย ๆ มันก็เหมือนกับ อยากเอาเงินร้อยบาทไปให้เศรษฐีที่มีเป็นหมื่นล้านอะไรอย่างเงี้ยะ เขาก็ไม่สนใจ หรือสมมติว่าเขาจะอนุโมทนา แต่คือ...มันก็จะไม่มีกำลังใจที่จะทำให้เบิกบานในบุญของเราเท่าไหร่ถ้าเราทำบุญน้อย ๆ อะไรอย่างนี้น่ะนะ
หรือไม่บางที สมมติน่ะนะ อันนี้สมมติว่าพ่อแม่เราไปอยู่ในที่ต่ำ สมมติไปอยู่ในท้องสัตว์ขณะนั้นไม่สามารถที่จะอนุโมทนาอะไรทั้งสิ้นได้แน่นอน เพราะจิตเป็นภวังค์อยู่
หรืออย่างกลับมาเกิดเป็นคนอีก อยู่ในท้อง ก็อนุโมทนาไม่ได้หรือว่ารับส่วนบุญไม่ได้ อันนี้ยกตัวอย่างภาพที่ชัดเจนที่สุดเพื่อให้เห็นนะครับว่า การที่เราจะให้ใครรู้สึกยินดีในบุญร่วมกับเราเนี่ยมันต้องทำกันในขณะที่มีชีวิต ไอ้ที่ทำไปหลังจากตายไปแล้วเนี่ยมันมีนะ มีทางเป็นไปได้ อย่างเช่น ถ้าไปเป็นเปรตหรือเป็นวิญญาณที่พอจะรับส่วนบุญได้หรือว่าอนุโมทนาร่วมยินดีกับบุญได้เนี่ย อันนั้นก็มีสิทธิ์ แต่ยาก
พี่ฉอด: มีคำถามเรื่องคู่ ยังวน ๆ อยู่เรื่องคู่ ๆ นะคะสมมติว่าเขาบอกว่ามันมีคนที่เป็นคู่กัน ที่บอกว่ามีอะไรที่พ้องต้องกันในสี่ข้อที่ว่าทีนี้ มันก็อาจจะมีบางคู่ที่อยู่ด้วยกันไปแล้วก็เหมือนเป็นศัตรูที่เขาเรียกว่าคู่เวรคู่กรรมอะไรกันมาแบบนี้อันนี้โอกาสในการที่จะไปพบไปเจอคนที่เป็นคู่ประเภทนี้เนี่ยเราจะต้องมีวิธีการทำอย่างไร
ดังตฤณ: ก็ต้องทำความเข้าใจว่า ที่เป็นคู่เวรกันเนี่ยสาเหตุมันเพราะว่าอยู่ด้วยกันแบบไม่ดี อย่างเช่น พูดจาหยาบคายต่อกันหรือว่ามีการแสดงอารมณ์เกี้ยวกราดต่อกันอยู่เรื่อย ๆหรือว่ากระทั่งไปนอกใจกัน หรือว่ามีการทำร้ายกัน ตบตีกัน หรือกระทั่งฆ่ากันพวกนี้ จะมีความผูกมัดกัน พอมาเจอกันใหม่ จะเหมือนคล้าย ๆอาศัยแรงดึงดูดทางกามารมณ์ หรือว่าเพศสัมพันธ์มาเป็นสื่อแต่พอมาอยู่ด้วยกันแล้ว ก็จะอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกที่ต่ำมันจะมีเหตุบันดาลหรือว่ามีเหตุจูงใจให้เกิดความเกรี้ยวดกราดใส่กันอีกหรือว่าให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกันอีก หรือว่าอยากนอกใจกันอีกตรงนี้ มันก็เลยกลายเป็นคู่เวร คือพอเจอกันแล้วเนี่ย ก่อเวรต่อกันไปไม่รู้จบ
ทีนี้ ถ้าหากว่าอยากเปลี่ยนภาวะของคู่เวรให้เป็นคู่บุญก็ต้องมาทำความเข้าใจพื้นฐานร่วมกันว่าที่ต้องมาเป็นคู่เวรกันเนี่ย เพราะทำไม่ดี พูดไม่ดี คิดไม่ดี ต่อกันมาก่อนมันถึงได้เกิดเหตุการณ์อะไรแบบนี้ขึ้นมาอะไรนิดอะไรหน่อยมันเป็นเรื่องได้หมด อะไรอย่างนี้น่ะนะถ้าหากว่าทำความเข้าใจอย่างนี้แล้ว และก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นตรงกันข้ามคือเริ่มจากคิดดีต่อกันก่อน คือมีทัศนคติที่ดีต่อกันว่า เออ ไหน ๆ ก็มาผูกมัดกันแล้ว พยายามร่วมมือกัน ทำให้อะไร ๆ มันดีขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ข้างหน้ามันมีความสว่าง ไม่ใช่มีแต่ความมืดอย่างที่เป็นอยู่
พอคิดดีอย่างนี้แล้ว มันก็จะได้เริ่มมีแก่ใจที่จะพูดดีต่อกันไอ้ที่ไม่เคยมีแก่ใจที่จะพูดหวาน ๆไอ้ที่ไม่เคยมีแก่ใจเรียกกันด้วยสรรพนามที่มันไพเราะเสนาะหู มันก็จะเริ่มมีแก่ใจแล้วทีนี้ การประพฤติปฏิบัติต่อกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่นอกใจกัน มันก็จะตามมาอีกตรงนี้ล่ะครับ ที่ในที่สุดมันพลิกทางได้ มันเปลี่ยนทางได้ จากคู่เวรเป็นคู่บุญ
พี่ฉอด: ซึ่งเมื่อกี้ฟังบอกว่า สมมติว่าถ้าเราทำบุญให้นี่มันก็ต้องมีทั้งความรู้สึกในการให้ มีความรู้สึกในการรับพอเป็นคู่กัน ก็ต้องมีทั้งความตั้งใจในการที่จะเปลี่ยนแปลงร่วมกันอะไรอย่างเงี้ยะมันเหมือนกับว่ามันต้องเป็นสองฝ่ายอยู่ตลอด
ดังตฤณ: ใช่ครับ
พี่ฉอด: มันมีโอกาสมั้ยคะที่เราฝ่ายเดียว คืออยากจะเปลี่ยน หรือว่าอยากจะให้หรืออยากจะทำอะไรให้ใคร แล้วอีกคนเขาไม่รู้ ไม่ร่วมมืออะไรอย่างเนี้ย
ดังตฤณ: มีทางครับ มีทาง แต่ว่าเราต้องเหนือกว่าเขามาก ๆเหนือกว่าจนกระทั่งเป็นแรงบันดาลใจให้เขา
อย่างมีนะครับ คือคู่เวรเนี่ยนะ พอมาเจอกันแล้ว เหมือนต้องมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเรื่องน่าหงุดหงิด เรื่องไม่พอใจคอบครัวของแต่ละฝ่าย ไม่ชอบ อะไรอย่างเนี้ยะมันมีแต่ปัญหาเยอะแยะไปหมดแต่ว่า อันนี้เคยเห็นมานะครับ ฝ่ายหนึ่งมีความตั้งใจที่แน่วแน่มากที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง คือต่อให้อีกฝ่ายร้ายมายังไง ก็พยายามทำใจคือไม่ใช่พยายามทำใจแบบหงอนะเพราะถ้าหงออย่างเดียวเนี่ย มันก็ปล่อยให้เขาร้ายไปเรื่อย ๆ
พี่ฉอด: เขาก็ยิ่งร้ายใหญ่
ดังตฤณ: ใช่ ธรรมชาติคนมันจะเป็นแบบนั้นแต่คือ... มีการพยายามเอาชนะอีกฝ่าย ด้วยความดีงามด้วยความรู้สึกที่เป็นกุศล ด้วยความรู้สึกที่ทำให้เขาเห็นว่าความดีมันมีจริงและผลของความดีคือมันจะได้เป็นสุขคือหมายความว่า ให้อภัยได้ไม่มีขอบเขตและในขณะเดียวกัน คือไม่ใช่ให้อภัยแบบไม่พูดอะไรเลย ไม่ชี้แจงอะไรเลยแต่พยายามค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ ชี้แจง ค่อย ๆ ทำความเข้าใจด้วยความสงบ ด้วยความเยือกเย็น ด้วยความมีใจเมตตาจริง ๆพอผ่านเดือนผ่านปีไป ...เขาทนไม่ได้หรอกครับคนทุกคนเนี่ย พร้อมที่จะดี เพียงแต่ไม่มีแรงบันดาลใจให้ดี
แต่ทีนี้ถ้าหากว่าได้มาอยู่ใกล้กับคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่จริงๆผ่านเดือนผ่านปีไปเนี่ย ในที่สุด กำแพงนั้นมันก็พัง กำแพงทิฏฐิ กำแพงอะไรต่อมิอะไรกำแพงบาปมันก็พังทลายลงไป แล้วก็ยอมอ่อนให้กับความดีเพราะว่าหลักการเลยนะครับ ถ้าหากว่า มีใครคนนึงที่ยอมใช้เวลา ยอมอุทิศตัว ทำตัวเป็นแบบอย่าง ทำตัวเป็นแรงบันดาลใจจะต้องมีผลกระทบ เขาจะต้องได้รับแรงบันดาลใจในจุดใดจุดหนึ่งเสมอ
พี่ฉอด: ค่ะ คงได้อีกซักคำถามนึง มีคนฝากถามถึงเรื่องของการทำบุญว่าจำเป็นมั้ยคะที่ต้องมีเรื่องของการกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้อะไรต่าง ๆอันนี้เป็นความถูกต้องหรือเปล่าในการทำบุญ
ดังตฤณ: คือเจตนาที่เป็นุบุญ เจตนาที่เป็นกุศลเนี่ยเป็นความสว่าง เป็นความอบอุ่น เป็นความดีในตัวเองอยู่แล้วเรื่องการกรวดน้ำ ไม่ได้อยู่ในสารบบของพุทธศาสนา นะครับแต่อย่างไรก็ตาม น้ำเนี่ย ตามความเชื่อแบบนึง เขาก็บอกว่าเป็นสื่อข้ามมิติได้คือมีลักษณะที่เป็นตัวกลางอะไรบางอย่างที่เชื่อม ที่ส่งถ่ายจากมิติหนึ่งไปสู่อีกมิติหนึ่ง เพราะว่าทุกมิติจะมีน้ำตรงนั้นเราพูดได้ว่า ที่ต้องมีการกรวดน้ำ เพราะต้องการสื่อและสิ่งที่เห็นได้เป็นรูปธรรมก็คือ มันจะเหนี่ยวน้ำให้จิตของเราไปอยู่กับความเย็นของน้ำก็ทำให้นึกถึงว่า เออ น้ำเนี่ย แทนบุญแทนกุศลที่เราได้ทำไปแล้วก็ได้เทให้กับคนที่อยู่ในภพอื่น
แต่ขอชี้ว่า กระแสของจิตนั่นแหละ เป็นสื่อข้ามภพข้ามมิติที่ดีที่สุด ดีกว่าน้ำเพราะว่าจิตนั่นแหละ ที่มันสามารถเชื่อมถึงกันได้โดยไม่ต้องมีการเห็น การได้ยิน มาประกอบ
อย่างสมมติว่า เรารู้สึกถึงใครเป็นพิเศษที่เขาล่วงลับไปแล้ว ด้วยความแน่วแน่จนกระทั่งมันเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เราก็ อ้อ สงสัยนี่เขาอยู่บนสวรรค์หรือว่าพอระลึกถึงใคร ที่เป็นญาติผู้ใหญ่ที่เรารักที่เราเป็นห่วงอะไรอย่างนี้ แล้วเพิ่งเสียไปเนี่ยเราเกิดความรู้สึกกระวนกระวาย เราเกิดความรู้สึกกลัวหรือว่าบางทีฝันร้าย ตรงนั้น เราก็รู้สึก อ้อ สงสัยเขาไปไม่ดีนี่แสดงให้เห็นว่า กระแสจิตมันเชื่อมกันได้ มันเข้าถึงกันได้ มันสัมผัสกันได้
ทีนี้ถ้าหากว่าเรามองในแง่ของการอุทิศบุญ อุทิศกุศลเนี่ยเราเพียงตั้งใจให้แน่วแน่นะครับรู้ว่ากุศลที่เราทำไปแล้ว มันมีความอบอุ่นยังไง มันมีความเป็นตัวเป็นตนยังไงแล้วเรานึกถึงใครอีกคนนึง เสมือนกับว่าเรายื่นขนมก้อนนึงให้เขา หรืออาหารจานนึงให้เขาตรงนั้น มันจะชัดเจนยิ่งกว่าการได้ไปกรวดน้ำแต่ถ้าใครยังรู้สึกว่าติดอยู่กับการกรวดน้ำ หรือว่าจะต้องกรวดน้ำอันนั้นก็ไม่ใช่ความผิดนะครับ ก็ทำได้ก็ทุกวันนี้เวลาผมไปทำสังฆทาน ผมก็กรวดน้ำ ตามธรรมเนียมเขา
พี่ฉอด: คงมีคำถามอีกเยอะมากเลยนะคะ ที่เราคงไม่มีเวลาพอในการตอบทีนี้ อยากฝากนิดนึงสำหรับคุณผู้ฟังที่ฟังอยู่แล้วเกิดรู้สึกมีข้อข้องใจแล้วอยากถามไถ่คุณตุลย์ แบบที่เรามานั่งคุยกันวันนี้เนี่ยจะมีช่องทางหรือมีวิธีการยังไงบ้างมั้ยคะที่จะติดต่อกับคุณตุลย์
ดังตฤณ: ตอนนี้ผมก็... มีจดหมายข่าวจากเว็บดังตฤณดอททอมอยู่น่ะนะก็เป็นการพูดคุยกันเรื่องทั่ว ๆ ไป ทุกอาทิตย์นะครับทุกวันพฤหัส ผมก็จะส่งจดหมายข่าวออกไป สำหรับสมาชิกนะครับ คือคงเป็นในรูปแบบนั้นมากว่า เพราะว่าถ้าตอบคำถามของทุกคน ตอนนี้คงไม่ไหวแต่ผมก็ก็ทำคอลัมน์ 'เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว' อยู่ในนิตยสารบางกอกก็จะเป็นการรวบรวมคำถามที่คนส่วนใหญ่อยากรู้ หรือไม่ก็เขียนจดหมายมาโดยตรงเขียนอีเมล์ หรือว่าส่งผ่านนิตยสารบางกอกเนี่ยนะครับก็จะมีรวบรวมไปเก็บไว้ที่นั่น เยอะเลยครับ
พี่ฉอด: ก็คงจะติดตามกันได้นะคะรวมถึงหนังสือหลาย ๆ เล่มที่คุณตุลย์เขียนออกมาด้วยวันนี้ 'คืนพิเศษ คนพิเศษ' ขอบคุณคุณดังตฤณหรือว่าคุณตุลย์ของเรามาก ๆ เลย (เสียงปรบมือ)ที่เป็นแขกรับเชิญพิเศษของเราวันนี้ และก็ต้องบอกว่าวันนี้คงทำให้คุณผู้ฟังชาวกรีนเวฟของเราได้รับอะไร ๆ กันไปมากมายพอสมควรทีเดียวนะคะมีอะไรอยากฝากนิดนึงสุดท้ายมั้ยคะ
ดังตฤณ: ก็... ความอบอุ่นใจนี่ก็มีหลายแบบนะครับสำหรับตาเปล่าเนี่ย เราจะยึดเอาบ้าน เอารถ เอาเสื้อผ้า เอาบุคลิกของตัวเองกับคนที่รักเนี่ย เป็นความอบอุ่น เป็นความปลอดภัย เป็นความมั่นคงยิ่งดูไฮคลาสมากเท่าไหร่ ก็เหมือนยิ่งจะน่าอบอุ่นมากขึ้นเท่านั้น
แต่สำหรับคนที่ศรัทธาในกรรมวิบากจะเห็นว่า ที่พึ่งอันน่าอบอุ่นใจสูงสุด มีอยู่ประการเดียวคือคือกรรมขาวของตัวเอง คือกุศล คือบุญของตัวเองอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อกายนี้แตกทำลายลงไปแล้วทรัพย์สิน บ้านเรือน และก็ลูกเมีย ต่างก็ต้องถูกทอดทิ้งไว้ในโลกนี้มีสมบัติติดตัวเดียวที่สามารถติดตัวเราไปได้ก็คือ 'กรรม'กรรมจะเป็นที่พึ่ง เป็นแดนเกิดแล้วก็จะเป็นพลังบันดาลให้ชีวิตเป็นไปตามทิศทางอันเหมาะสมเสมอครับ ก็อยากฝากไว้เท่านี้ครับ
พี่ฉอด: ค่ะ ขอบคุณคุณตุลย์มากเลยนะคะ
ดังตฤณ: ขอบคุณพี่ฉอดเช่นกันครับ
พี่ฉอด: ค่ะ แล้วติดตาม 'คืนพิเศษ คนพิเศษ' ต่อไปในเดือนหน้านะคะใครจะเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษของเรา คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ค่ะ สวัสดีค่ะ
ดังตฤณ: ราตรีสวัสดิ์ครับ สวัสดีครับ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .